Category: Ads

3 Step | Email Marketing Personalization ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

Email-Marketing-Personalization

ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้วเกี่ยวกับการทำ Email Marketing ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย คราวนี้เราจะมาเจาะลึกลงไปที่การทำ Email Personalization มากขึ้น โดยที่จะแบ่งเป็น Step ของการทำ Email Personalization ให้เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการส่งอีเมลของคุณได้ไม่มากก็น้อยเลยครับ

  • ( การทำ Email Personalization คือ การส่งเมล์ไปหาบุคคลคนนั้นได้แบบเฉพาะเจาะจง ผ่านการสมัครสมาชิกหรือกดรับติดตามข่าวสาร โดยการใช้อีเมล์เป็นตัวยืนยันข้อมูลต่างๆ ซึ่งข้อดีของการทำ Email Personalization คือสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญแบบส่วนตัว รวมถึงการเสนอสินค้าหรือบริการของแบรนด์ ที่ตรงใจกับลูกค้า )\

Know Way

  1. กำหนดทิศทางของ Email ที่เราจะส่งออกไป

สิ่งสำคัญที่สุด ควรเริ่มจากการวางทิศทางของ การทำ Email Personalization ว่าจุดประสงค์เราทำเพื่อจะให้ผู้อ่านเห็นอะไร ที่ผู้อ่านอยากเห็นมากที่สุด เพราะเขาเหล่านั้นมีโอกาส Unsubscribe ได้ตลอดเวลา ดังนั้นเราต้องรู้ที่มาของ Email ที่เราได้มา เช่น ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นลูกค้าที่มียอดซื้อบ่อยที่สุด ซื้อจำนวนมากที่สุด หรือลูกค้ากลุ่มนี้เป็นลูกค้าที่ลงทะเบียนในงาน event ของเรา เป็นต้น และทำการจัดกลุ่มของลูกค้าเหล่านั้น และคิดเนื้อหาที่ต้องการจะนำเสนอ

Planning

  1. รีวิว Email ที่ใช้ในการส่งไปหาลูกค้า

ใน Email 1 ฉบับประกอบด้วยหลายส่วน เราลองมารีวิวทีละส่วนของ Email เพื่อใช้ใน การทำ Email Personalization โดยเริ่มจาก

  • Subject line – ควรใช้ข้อความที่น่าสนใจดึงดูดให้คนกดเข้ามาอ่าน ใช้ข้อความที่ต้องการจะสื่ออยู่ประโยคแรกสุด เพราะข้อความจะถูกตัดลดลงเมื่ออยู่ในมือถือ
  • Preview text – เป็นส่วนที่อยู่ต่อจาก subject line ที่หลายคนมองข้าม แต่เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คนคลิกเข้ามาอ่านไม่แพ้กับ subject line ซึ่งส่วนนี้ อาจจะใส่ชื่อของลูกค้า หรือข้อความเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้ลูกค้ากดเข้ามาอ่านได้
  • Hero – ในส่วนของ Hero คือเนื้อบนสุดหลังจากลูกค้าคลิกเข้ามาเพื่ออ่านข้อความใน Email แล้ว สิ่งสำคัญในการทำ Email Personalization นั้น Hero ควรจะพูดถึงสิ่งที่เราต้องการจะนำเสนอจริงๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมทำเป็นรูปภาพ เพราะมีความน่าสนใจและทำให้ลูกค้าอยากกดมากกว่าเป็น text ธรรมดา ซึ่งหากจำเป็นต้องใช้แค่ text จริงๆ ก็ควรขยายตัวอักษรหรือเน้นเพื่อให้ลูกค้าเห็นส่วนที่เราต้องการจะสื่อนี้เป็นอันดับแรก
  • Call-to-action – จุดประสงค์ในการส่ง Email ของเรา คือการที่เราอยากให้เขาคลิกไปยังเว็บไซต์เราต่อเพื่อทำการดูหรือซื้อสินค้า หรือกดโทรฯ กด add line ดังนั้นอย่าลืมที่จะใส่ Call-to-action ให้ลูกค้าทราบว่าส่วนนี้สามารถกดไปต่อได้ เพื่อให้การส่ง Email นั้นไม่เสียเปล่า
  • Related – เมื่อลูกค้าได้อ่านข้อมูลที่เราต้องการจะสื่อสารแล้ว แต่ถ้าหากมีสินค้าหรือเนื้อหาที่เราอยากจะนำเสนอลูกค้า หรือนำสินค้าอื่นๆที่ลูกค้าเคยเข้าไปดูแต่ไม่ได้ทำการซื้อมาใส่ อาจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น

3.ตรวจสอบ ติดตามผล และปรับปรุง

ไม่ใช่แค่เฉพาะการทำ Email personalization งานทุกๆอย่างควรมีการตรวจสอบว่าข้อความไม่ผิด เนื้อหาเป็นไปอย่างที่ต้องการ Design สวยงาม เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแบรนด์ ข้อมูล Email ที่จะทำการส่งมีความถูกต้องไม่เป็น Email spam

การทำ A/B Test เพื่อให้ Performance ของ Email personalization ออกมาดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการ test เวลาที่ส่ง Design ของ Artwork หรือแม้กระทั่งเนื้อหาที่ส่งออกไป เพื่อให้การส่ง Email personalization ของเราออกไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ตัวอย่างการทำ Email Marketing Personalization :

adidas – ใช้วิธีส่งอีเมล์ไปหาลูกค้าโดยใช้เพศเป็นเกณฑ์ในการส่งอีเมล์ เพื่อให้สินค้านั้นตรงกลุ่มเป้าหมาย

Adidas


สรุป                            

ในขณะมีที่ข้อมูลมากขึ้นเรื่อยๆ การกำหนดเป้าหมายก็ยากขึ้นเช่นกัน เพื่อดึงดูดความสนใจของคนที่ได้รับ การที่จะโดดเด่นได้คุณจะต้องเน้นข้อความและส่งไปในเวลาที่เหมาะสม ดังนั้นการทำ Email Personalization จึงสำคัญมากในยุคที่ข้อมูลหลากหลายและรวดเร็ว การที่เจาะกลุ่มเป้าหมายให้ถูกกลุ่มจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะคนกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะเป็นลูกค้าเราได้ง่ายกว่า ทั้งนี้การออกแบบ Email ที่ดีสามารถสร้างความแตกต่างจากอีเมล์อื่นๆได้อีกด้วย

Q : ดังนั้นถึงเวลาที่คุณควรที่จะเปลี่ยนการส่งเมล์ของคุณให้เป็นแบบ Personalization ได้หรือยัง?

Facebook Vs. Google | ศึกนี้ใครจะชนะ มาดู

ในแต่ละวันเราเสพสื่อ ข่าวสารหรือบทความต่างๆ ผ่าน Social Media อย่าง Facebook, Instagram หรือ Twitter แม้ว่า Facebook มีข่าวการลด Reach ตั้งแต่ปลายปีมาเรื่อยๆ ก็ยังถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย

Facebook Vs. Google

  • ล่าสุด Parse.ly  เผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Traffic ที่มาจากเว็บไซต์ทั้ง Facebook และ Google นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆอีก ทาง SocialEnable จึงขอยก 2 แพลตฟอร์มนี้มาวิเคราะห์และมาเปรียบเทียบกัน พบว่าปี 2017 ที่ผ่านมา การเข้าชมเว็บไซต์ส่วนมากกลับกลายเป็นฝั่ง Search Engine อย่าง Google ซึ่งชนะ Facebook  ไปที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าอาจเกิดจากการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมของ Facebook ตั้งแต่ต้นปี 2017

ดูกันเน้นๆระหว่าง Facebook Vs Google Referral Traffic (ตั้งแต่ปี 2017 – ปัจจุบันปี 2018)

External-Traffic-on-facebook-and-google

parse.ly/referrer-dashboard/google search Vs. facebook

จากที่ Mark zuckerberg ออกมาพูดถึงแนวทางของ Facebook และแนวทางการปรับอัลกอริทึม เพื่อมุ่งเน้นไปที่คน และสังคมความเป็นอยู่มากขึ้น (การลด Reach และแนวทางของ Facebook 2018) ทำให้ Traffic ของ Facebook ลดลงอย่างมาก จนทำให้ Search Engine อย่าง Google กลับมาชนะขาดอีกครั้ง โดยยอดเข้าชมของ Google สูงถึง 44% ในขณะที่ Facebook อยู่ที่ 24% เท่านั้น ในเดือนมีนาคม 2018

การปรับตัวและทิศทางในอนาคต

– สำหรับสาย Search อย่าง Google ควรลงทุนต่อไปทั้งการทำ SEO และ SEM เพราะเว็บไซต์เป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ไม่ว่าจะรายชื่อลูกค้า, Insight ของคนที่เข้าเว็บ จะทำให้ในระยะยาวคุ้มค่าแก่การลงทุน ส่วนช่องทาง Social Media นั้นเป็นเพียงแค่ช่องทางหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้สามารถใช้เป็นช่องทางในการเรียก Traffic เข้าเว็บมาได้ แต่ไม่ควรอยู่ เป็นแค่ช่องทางหลัก หรือช่องทางเดียว ควรหาช่องทางอื่นไว้เสมอ เพราะเราไม่สามารถควบคุมมันได้ ช่องทางนั้นๆ อาจเปลี่ยนแปลงกฎหรืออัลกอริทึมที่ทำให้เราเสียประโยชน์ไปได้เช่นกัน

– ในสาย Social อาจจะต้องปรับเปลี่ยนตัว Content หรือ Format ในการนำเสนอต่างๆ เพื่อดึงดูด Traffic โดยการใช้คำหรือหัวข้อที่ชวนให้กดอ่าน แต่ระวังเป็น ”clickbait” เพราะ Facebook สามารถตรวจจับได้ รวมถึงต้องครอบคลุม Social ทุกช่องทางไม่เพียงอยู่แค่ Facebook เท่านั้น แต่ต้องหา Channel อื่นที่ลูกค้าหรือกลุ่มที่เราสนใจ เช่น ลองค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมายเราอยู่ Social Channel ไหนบ้าง เช่น Twitter, Instagram, Youtube เป็นต้น


สรุป

เมื่อ Google กลับมามีบทบาทมากขึ้นในเรื่องของ Traffic ที่สามารถดึงคนเข้าเว็บได้มากกว่า แม้ Facebook จะลด Reach โพสต์ประเภทรูปและลิงค์ แต่แพลตฟอร์มของ Facebook ก็ยังคงมีผู้ใช้งานสูงอยู่ดี(Active Users)  ดังนั้นธุรกิจต้องศึกษาถึงพฤติกรรมผู้บริโภค หรือกลุ่มเป้าหมายของเรา ว่าใช้แพลตฟอร์มไหนกันบ้างในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ บางธุรกิจเริ่มจากเว็บไซต์ของตัวเองก่อนเพราะสามารถควบคุม จัดการได้ง่าย บางธุรกิจก็เริ่มจาก Facebook ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายก่อน เพราะต้องการคนมา Engagement กับโพสต์เรา  เป็นต้น

 

3 วิธีการทำ Email Marketing ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด! (ฉบับมือใหม่)

หลายๆ ท่านอาจจะไม่ค่อยชอบวิธีการทำการตลาดโดยใช้ Email Marketing เพราะเป็นวิธีที่ดูน่าเบื่อ น่ารำคาญ แต่หารู้ไม่ การทำ Email Marketing นี่แหละ ที่เป็นช่องทางที่สร้างยอดขายได้มากลำดับต้นๆ ของการทำการตลาดออนไลน์เลยด้วยซ้ำ ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นหลายเว็บไซต์ชอบมี Pop-up เพื่อการกรอกข้อมูลหน้าเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อหรืออีเมล์ (แนะนำ: 4 เทคนิคการทำ Lead Genaration) เพื่อที่จะนำข้อมูลไปใช้ในการทำ Email Marketing ต่อไป เรามาดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้างที่เราจะนำไปใช้ เพื่อให้การทำ Email Marketing ได้ผลกับธุรกิจของคุณมากขึ้น

  1. ใช้RFM ในการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการนำข้อมูลที่ได้ มาทำการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด RFM ก็เป็นอีกวิธีการที่จะช่วยให้ การทำ Email Marketing ใช้ในการแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation) โดย

  • R  ย่อมาจาก Recency คือ ครั้งสุดท้ายที่ลูกค้าซื้อสินค้าหรือครั้งสุดท้ายที่ทำการคลิกอีเมล์
  • F  ย่อมาจาก Frequency คือ ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าไปแล้วกี่ครั้งหรือคลิกแล้วกี่ครั้ง
  • M ย่อมาจาก Monetary คือ ลูกค้าจ่ายเงินไปเท่าไหร่

แล้วเราแบ่งกลุ่มเพื่ออะไร? – แบ่งกลุ่มเพื่อให้ทราบว่าลูกค้าจริงๆ ของเราเป็นแบบไหนบ้าง และเพื่อทำการส่ง Email ได้ถูกกลุ่ม เช่น ลูกค้ากลุ่มนี้ซื้อเดือนละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 3,000 บาทขึ้นไป คลิกอีเมล์ทุกครั้ง อาจจะมองคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มพิเศษ หรืออาจจะมีการให้สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นต้น

  1. ให้ความสำคัญกับเป็นรายบุคคล หรือการทำEmail Personalization

คือการกำหนดข้อความรายบุคคล เช่น การขึ้นต้นจดหมายด้วยชื่อของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราตั้งใจส่งหาเค้าจริงๆ ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ที่ได้อีเมล์มา หรือแม้แต่การนำข้อมูลที่ลูกค้าเคยใส่สินค้าในตะกร้า แต่ไม่ได้ทำการซื้อ มาเป็นเนื้อหาใน Email เพื่อปิดการขาย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งอีเมล์ฉบับนั้นได้แน่นอน

  1. การทำAutomate Email

การสร้าง Email และให้ส่งแบบ Auto ก็เป็นอีกรายละเอียดนึงที่ไม่ควรพลาด เช่น มีอีเมล์ตอบรับหลังจากการสมัครสมาชิกใหม่ อีเมล์สำหรับวันเกิดของลูกค้า เป็นต้น ซึ่งเป็นรายละเอียดในการทำ Email Marketing ที่เราต้องศึกษาว่าแบรนด์ของเรามีลักษณะเป็นแบบไหน ลูกค้าของเราเป็นอย่างไร ถ้าหากแบรนด์ของเราเป็นลักษณะ B2B อาจจะไม่ต้องมี Automate Email ในลักษณะวันเกิด แต่อาจจะเป็นในรูปแบบพูดถึงประเภทธุรกิจมากขึ้น เป็นต้น เพื่อให้ตรงกับลูกค้าของเราได้มากที่สุด

สรุป

จะเห็นได้ว่าการทำ Email Marketing ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่เราไม่ควรละเลยการทำการตลาดในช่องทางนี้ไป ข้อมูลที่เราได้มาจากลูกค้า ยังสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อทำประโยชน์กับแบรนด์ได้อีกมากมาย ยังไงก็ลองนำวิธีข้างต้นไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณกันดูนะครับ


Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 หรือกรอกข้อมูลด้านล่าง แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

การใช้ Twitter ทำการตลาดในปี 2018 – ในวันที่ Facebook เปลี่ยนไป

ถึงแม้ Twitter จะมีมานานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมเท่ากับสื่อสังคมออนไลน์อื่นอย่าง Facebook แม้ทุกวันนี้เริ่มมีผลกระทบกับ Facebook fanpage อย่างมากในเรื่อง Reach ที่ลดลง แต่ตอนนี้ถือว่าเป็นสื่อที่ครองใจผู้บริโภคอยู่ดี Twitter จึงเป็นสื่อที่ถูกมองข้ามไปสำหรับหลายๆแบรนด์ ส่วนในอนาคตมารอดูกัน! หากศึกษาเทรนด์หรือได้ลองเล่น Twitter จริงๆแล้ว จะรู้ว่าเทรนด์บางอย่างของ Twitter จะมาก่อน Facebook อยู่บ่อยๆ รวมถึงยังเป็น Micro-Blog ที่มีอีกหลายมุมที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ที่จะดึงประสิทธิภาพของ Twitter มาใช้กันในปี 2018 นี้ในการทำการตลาดให้กับธุรกิจของคุณ( Twitter marketing)


1.Algorithm

จากกราฟจะเห็นได้ว่ามีผู้ใช้งานที่เป็น Active user ใน Twitter เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งคือ Algorithm ซึ่งทำงานเพื่อแสดงให้เห็นในสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการจะเห็นได้ตรงขึ้น ดังนั้นโดยจะวัดจากโพสต์ที่มี Engagement สูง ก็จะยิ่งมีโอกาสแสดงมากขึ้น ไม่เพียงแต่แสดงเฉพาะคนที่ติดตามคุณ แต่ยังแสดงไปยังผู้อื่นอีกด้วย(Viral) แสดงให้เห็นถึง potential ในการทำการตลาดโดยใช้ Twitter ได้เป็นอย่างดี

2.Number of Characters

Number-on-twitter

การใช้ Twitter ทำการตลาด เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจ Twitter ได้มีการปรับจาก 140 ตัวอักษรเป็น 280 ตัวอักษร  ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์สำหรับแบรนด์หรือ Blogger ที่จะใส่ข้อมูลที่คุณมี ดึงดูดคนให้สนใจทวีตของคุณได้มากขึ้น เข้าใจสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อได้ง่ายขึ้น และเข้าถึงคุณได้ดียิ่งขึ้น แต่สิ่งที่หลายคนกังวลนั้นก็คือ บนไทม์ไลน์อาจเต็มไปด้วยความยาวข้อความ 280 ตัว ซึ่งยาวมากจะอ่านยังไงหมดเนี่ย ทาง Aliza Rosen, Product Manager -Twitter เขียนบน Blog ของเธอว่า มันจะไม่เกิดขึ้นหรอก เพราะมีเพียง 5 % ของทวิตที่มีข้อความยาวมากกว่า 140 ตัวอักษร และมีเพียง 2% ที่มีข้อความยาวมากกว่า 190 ตัวอักษร

3.Advanced Search (twitter.com/search-advanced)

ผู้ใช้งานสามารถค้นหาขั้นสูงเพื่อที่จะค้นหาได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้นโดยการกรองการค้นหา ซึ่งเป็นประโยชน์ที่จะช่วยให้แบรนด์ใส่ Keywords ที่ตรงกับคำค้นหาของผู้ใช้งาน โดยใส่ข้อมูลที่น่าสนใจเพื่อที่เวลาผู้ใช้งานค้นหามาเจอจะได้กดเข้าไปยัง Twitter ของแบรนด์เรา

4.Threads

มีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่อย่าง “Threads” ที่ช่วยให้การใช้ Twitter ในการทำการตลาด ให้เป็นเรื่องที่สนุกขึ้นและง่ายขึ้น มีการเชื่อมโยงในแต่ละทวีตเพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจง่าย โดยไม่ต้องเห็นแค่บางส่วนของข้อความที่เราต้องการจะสื่อออกไป

5.Video on Twitter

JD Prater, Head of Social Media at Hanapin Marketing ได้พูดถึงการใช้ วิดิโอบน Twitter นั้นได้ผลที่ดีกว่าช่องทางอื่นอย่าง Facebook หรือ IG เสียอีก นอกจากนี้วิดีโอบน Twitter ยังได้ผลมากกว่าไฟล์รูปภาพและ GIFs ถึง6 เท่า แต่น่าเสียดายที่หลายแบรนด์มองข้ามมันไป การใช้วิดีโอเป็นสิ่งที่สำคัญ ยังคงเหมือนกันกับทุกแพลตฟอร์มในโซเชียลมีเดีย ที่วีดีโอจะเป็นรูปแบบโพสต์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในเรื่อง Reach ดังนั้นจึงไม่ควรละเลยการใช้วีดีโอในการโปรโมทแบรนด์ของคุณขึ้นบนสื่อออนไลน์อย่าง Twitter

6.Trends on Twitter

หากได้ติดตามจริงๆ จะพบว่าเทรนด์บางอย่างของทวิตเตอร์จะมาก่อนเฟสบุ๊คเสมอๆ แต่เทรนด์ของทวิตเตอร์จะหายไวกว่าเฟสบุ๊ค นั้นอาจเป็นเพราะ Algorithm ของทวิตเตอร์ที่เด่นเรื่อง Ranking ซึ่งแตกต่างกับเฟสบุ๊คที่ยังคงมีคนพูดถึงซ้ำกับเทรนด์ที่ผ่านพ้นไป ดังนั้นประเด็นสำคัญคือ แบรนด์ต้องใส่ใจและปรับตัวให้รวดเร็วในเรื่องเทรนด์ รวมถึงศึกษาเทรนด์ในแต่ละโซเชียลมีเดียที่มีความแตกต่างกันทั้ง Content และระยะเวลาของเทรนด์ ก่อนหมดกระแส

สรุป

บทความนี้ได้พูดถึงประสิทธิภาพและฟังก์ชั่นของ Twitter เพื่อสร้างโอกาสของแบรนด์ในการเข้าใจและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการทำการตลาดสำหรับ Twitter เพราะช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งที่คนให้ความสนใจอย่างมาก รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานก็ค่อนข้างหลากหลาย เช่น คนเดียวใช้ทุกโซเชียลมีเดียทั้ง เฟสบุ๊ค-ดูข่าวสาร, ทวิตเตอร์-เอาไว้บ่น/ระบาย, อินสตาแกรม-ลงรูปที่เราไปเที่ยว เป็นต้น ดังนั้นการเข้าใจทั้งฟังก์ชั่นของโซเชียลมีเดียต่างๆ และพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

Q: คุณจะใช้ Facebook ช่องทางเดียวในการทำธุรกิจในวันที่ไม่มีคนเห็นไปจริงหรือ?


Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

 

Mark Zuckerberg กับทิศทางการแก้ปัญหาของ Facebook ในปี 2018

Every year I take on a personal challenge to learn something new. I've visited every US state, run 365 miles, built an…

Posted by Mark Zuckerberg on Thursday, 4 January 2018

เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2018 ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg โพสต์ลง Facebook ของตน เกี่ยวกับ”ทิศทางการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นของ Facebook ในปี 2018” รวมถึงการวางแพลนต่างๆ ที่ได้ตั้งเป้าไว้ตลอดปี 2018 วันนี้ SocialEnable จะมาสรุปใจความสำคัญให้ฟังกันครับ

  • การปกป้องชุมชน(Community)

ซึ่ง Mark Zuckerberg ยังคงเน้นสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญ ทั้งการล่วงละเมิดทางออนไลน์หรือแม้จะเป็นเรื่องข่าวปลอมที่ออกมาจากทั่วทุกทิศเป็นปัญหามานานสำหรับสื่อ Social ทุกรูปแบบ และ Social Media อย่าง Facebook กำลังพยายามที่จะหาทางแก้ไขปัญหานี้ และในเรื่อง Policy ต่างๆ ซึ่งเค้าก็ออกมายอมรับว่าปัจจุบันมีข้อผิดพลาดในการบังคับใช้ Policy หรือแม้แต่การป้องกันการใช้เครื่องมือในทางที่ผิด

  • ป้องกันการแทรกแซงจากการนำข้อมูลไปใช้

โดย Mark Zuckerberg และทีมได้ทำการสร้างระบบการกำหนดเป้าหมายโฆษณาที่ทันสมัยที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา พร้อมด้วยความสามารถในการเจาะกลุ่มย่อยเฉพาะ ทำให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วถ้าหากเรามีการอัปโหลดข้อมูลส่วนตัวของเราผ่าน Social media จะทำให้ธุรกิจหรือองค์กรณ์ต่างๆนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้น Facebook จึงทำระบบตรวจสอบข้อมูลที่ดีขึ้นเพื่อป้องกันการละเมิดหรือนำข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาติไปใช้

และในปัจจุบัน Facebook ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีผู้ใช้ถึง 2.07 พันล้านรายและยังมีผู้ที่ใช้งานอยู่กับ Facebook เป็นเวลานาน ดังนั้นเค้าจึงอยากให้เวลาที่เสียไปกับ Facebook นั้นเป็นเวลาที่ดี ดังนั้นนอกจาก Tools ที่จะช่วยให้เราปลอดภัยส่วนหนึ่งแล้ว เราเองก็ควรกรองข้อมูลข้อเท็จจริงก่อนจะเชื่ออีกทางหนึ่งด้วยนะครับ


สรุป

แนวทางของ Mark Zuckerberg พยายามที่จะแก้ไขเรื่อง Policy ต่างๆ เพื่อปกป้องสังคมของ Facebook จากการล่วงละเมิดจากข้อมูลที่ผิดๆ (ข่าวปลอม, ข่าวสร้างกระแสในเชิงลบต่างๆ) เพื่อทำให้สังคม Facebook ดีขึ้น และต้องการให้ผู้ใช้มั่นใจว่าเวลาที่ใช้ไปกับ Facebook นั้นเหมาะสม รวมถึงการมี Content ที่มีคุณภาพต่อผู้ใช้งานจริงๆ

Q: ต่อไป Facebook จะไปในทิศทางใด? /เราจะปรับตัวกับสิ่งนี้ได้หรือไม่? /ฝั่งธุรกิจจะทำอย่างไรบนโลกออนไลน์?

คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องตอบให้ได้…เพราะกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว


 

เคล็ดลับ Video Content | เลือกยังไงให้ปัง กี่วิยังไงให้โดน

VDO-content

หลังจากทราบเรื่องเทรนด์ในปี 2018 ไปแล้ว และเป็นที่ทราบกันดีนะครับว่าทาง Facebook ได้ทำการปรับเปลี่ยน Organic Reach ตลอดเวลา ทำให้โพสต์แต่ล่ะอันมี Reach และ Engagement ที่น้อยลงมาก แต่มีโพสต์รูปแบบหนึ่งที่ยังคงความนิยมและร้อนแรงอยู่ตลอด นั้นคือการทำ Video Content นั้นเอง เพราะวิดิโอเป็นสิ่งที่คนให้ความสนใจและแชร์มากที่สุดบน Facebook รวมถึง Engagement ที่ยังคงร้อนแรงเมื่อเทียบกับการโพสต์อื่นๆ  เพิ่มเติมได้ที่ Buzzsumo

VDO-engagement

ดังนั้นวันนี้จะมาบอกเคล็ดลับดีๆ จาก SocialMediaToday ในการทำ Video Content ยังไงให้ปัง โดยเกี่ยวกับการเลือกเนื้อหาของวิดิโอให้เหมาะสม และแพลตฟอร์มไหนเหมาะกับวิดิโอของคุณ ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลยครับ

เลือกรูปแบบ Video Content ให้เหมาะกับลูกค้าแต่กลุ่ม

1.ใช้การอธิบายให้เข้าใจ (Explainer Videos)

วิดิโอที่ใช้การอธิบายเป็นหลัก ผ่าน Motion Graphic หรือคนพูดเองเลย เนื้อหาประเภทนี้จะช่วยให้ลูกค้าของคุณเข้าใจถึงรูปแบบธุรกิจ และคุณสมบัติของสินค้าที่มีฟังก์ชั่นซับซ้อน ใช้งานยาก เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์ช่าง เป็นต้น ซึ่งวิดิโอประเภทนี้จะเน้นช่วยให้ลูกค้าทำความเข้าใจได้ง่าย

  • ความยาววิดิโอที่ลูกค้าสนใจ ควรอยู่ที่ 0.30 – 3.00 นาที เนื่องจากเป็นการอธิบาย อาจจะกินเวลาไปบ้าง แต่เนื้อหาประเภทนี้ลูกค้าสนใจอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ควรยาวไปมากกว่านี้ ฉะนั้นควรที่จะอธิบายให้กระชับ เรียบเรียงคำพูด และครอบคลุมเนื้อหาที่เราอยากจะสื่อออกไปให้รวดเร็ว

2.รีวิวจากปากลูกค้าจริง (Customer Videos)

วิดิโอนี้เป็นการรับรองจากลูกค้าจริงๆ หรือการรีวิวนั้นเอง ซึ่งวิดิโอประเภทนี้สามารถโน้มน้าวให้ลูกค้าคนที่กำลังตัดสินใจซื้อสินค้าอยู่นั้น ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะการที่ลูกค้าออกมาพูดหรือแสดงความรู้สึกผ่านทางวิดิโอจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้ชมได้ ดังนั้นวิดิโอประเภทนี้เหมาะกับสินค้าหรือบริการ ที่มีหลากหลายให้เลือก แต่ยากที่ตัดสินใจซื้อ เช่น ร้านที่ทำศัลยกรรม, ที่เรียนพิเศษต่างๆ , หรือสินค้าประเภท Skin care ที่ถึงกับทำรีวิวออกให้ชมกันเลยทีเดียว

  • ความยาววิดิโอที่ลูกค้าสนใจ จะอยู่ที่ น้อยกว่า 0.30 – 1.00 นาที หากยาวไปกว่านี้ ลูกค้าจะรู้สึกว่าเริ่มขายของเกินไป หน้าม้ารึเปล่า ดังนั้นวิดิโอประเภทนี้ควรทำออกมาให้จริงที่สุดและกระชับ ไม่นอกกรอบ เพราะลูกค้าคาดหวังผลที่ได้จากสินค้าหรือความรู้สึกที่ได้ใช้จริงๆ

3.ชุดสาธิต (Demonstration Videos)                                                                                           

วิดิโอประเภทนี้จะคล้ายกับข้อแรก ตรงที่เพิ่มความเข้าใจให้กับลูกค้ามากขึ้น แต่วิดิโอประเภทนี้จะสาธิตวิธิการให้งานของตัวสินค้า ที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าติดตั้งเองได้ง่าย ทำความเข้าใจง่ายไม่ยากสามารถดูวิดิโอและทำตามได้เลย เช่น การสอนออกกำลังกาย, การติดตั้งเฟอร์นิเจอร์เอง, สอนการเซ็ทตั้งค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งเราอาจจะเคยพบเคยเห็นมาบ้างแล้วเช่น พวก How to ต่างๆ

  • ความยาววิดิโอที่ลูกค้าสนใจ จะอยู่ที่ 0.30 – 3.00 นาที หรือมากกว่านี้ก็ได้ เป็นวิดิโอที่ลูกค้าสนใจที่จะเลือกดูเอง หรือกำลังสนใจสินค้านี้ หากสาธิตวิธีใช้ วิธีติดตั้ง ให้ลูกค้าเข้าใจได้ภายในไม่กี่นาที จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้น

4.เจาะจงไปหาลูกค้าของคุณเลย (Personalized Videos)

วิดิโอที่เน้นทำให้คนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้จากการใช้เครื่องมืออย่าง Facebook Ads ที่แสดงผลให้เราเห็น ว่าแต่ละคนจะเห็นโฆษณาขายสินค้าที่แตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะว่า ความต้องการและความสนใจของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ซึ่งการทำวิดิโอประเภทเหมาะกับคนที่สนใจสินค้านั้นจริงๆ จึงค้นหาและเจอคุณ หรือกำลังเกิดความสนใจพร้อมกับเจอวิดิโอของคุณ ดังนั้นการทำวิดิโอประเภทนี้ ต้องเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าของคุณให้ดี นอกจากนี้ขึ้นอยู่กับ Lifestyle หรือกำลังซื้อของแต่ละคนด้วย

  • ความยาววิดิโอที่ลูกค้าสนใจ จะอยู่ที่ น้อยกว่า 0.30 – 1.00 นาที ซึ่งวิดิโอประเภทนี้เมื่อเปิดแล้วต้องโดน ต้องเข้าถึงลูกค้านั้นๆ ได้อย่างเจาะจง เช่น วิธีเดินทางในประเทศญี่ปุ่นโดยรถไฟฟ้า, วิธีเลือกซื้อแว่นสายตา สั้น/ยาว/เอียง เป็นต้น

สรุป

จะเห็นว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มให้ความสนใจแต่ละ Video Content แตกต่างกันไป ซึ่งวิดิโอส่วนใหญ่ควรที่จะยาวไม่เกิน 3 นาที เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีสมาธิสั้นลง เลือกเสพ Content ที่เข้าใจง่ายไม่ยุ่งยากเช่น พวก Infographic หรือวิดิโอ How to ไม่กี่วิ เป็นต้น

Ref. Buzzsumo, SocialMediaToday

 

 


Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 หรือกรอกข้อมูลด้านล่าง แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

5 วิธี | ปรับใช้ Google My Business ของธุรกิจคุณให้มีลูกค้ามากขึ้น

Google-My-Business

Google my business เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะบอกรายละเอียดของบริษัทคุณ เพื่อให้ผู้คนค้นหาร้านของคุณได้ง่ายขึ้น  และมีโอกาสเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น ดังนั้นเราจึงควรใช้ประโยชน์จาก Google my business ให้คุ้มค่าที่สุด แถมมันใช้งานง่าย และยังฟรีอีกด้วย โดยวิธีคือเข้าไปกรอกรายละเอียดข้อมูลของบริษัทคุณที่ google.co.th/intl/th/business/ ซึ่งเมื่อกรอกข้อมูลของคุณแล้วสิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือการ Verify เพื่อไม่ให้คนอื่นมาแก้ไขข้อมูลของเรา และทาง SocialEnable จะมาแนะนำ

”5 วิธีปรับใช้ Google My Business ของธุรกิจคุณให้มีลูกค้ามากขึ้น

1.ใส่ชื่อร้านค้า ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์

แน่นอนว่าการที่จะให้ร้านของคุณค้นหาเจอก็ต้องใส่ชื่อร้าน พิกัดของร้าน และหมายเลขโทรศัพท์ที่ง่ายในการติดต่อ เผื่อลูกค้ามีข้อสงสัยในวันเปิด-ปิดของร้าน วันหยุดพิเศษ หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ก็จะสามารถช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงร้านค้าได้ง่ายขึ้น

2.ใส่รายละเอียดอื่นๆให้ครบ

ไม่ว่าจะเป็นประเภทของร้านค้า ว่าเราขายสินค้าอะไร หรือหากมีเว็บไซต์หรือรายละเอียดอื่นๆที่เป็นประโยชน์กับลูกค้า ก็ควรใส่ให้ครบถ้วน

3.เพิ่มรูปภาพ                

เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าเรามาไม่ผิดร้านแน่นอน ลองใส่รูปหน้าร้านหรือบรรยากาศโดยรวมลงไป นอกจากจะทำให้ลูกค้ามาหาเราถูกแน่ๆแล้วยังช่วยจูงใจให้มีคนอยากมาร้านเราเพิ่มขึ้นอีกด้วย

4.เพิ่มเวลาเปิด-ปิด

หลายคนไปรอเก้อ ไปกี่ครั้งร้านก็ปิด การใส่วันและเวลาเปิด-ปิดของร้าน วันหยุดพิเศษ ช่วยให้ลูกค้ามาถึง แล้วอารมณ์ไม่เสีย รอไม่นานอีกด้วยนะ

5.เปิดกว้างให้ลูกค้าเข้ามารีวิว

การเปิดโอกาสให้ลูกค้ามารีวิวร้านของคุณ ถือเป็นกลยุทธ์เด็ดของการใช้ Google my business เพราะจะช่วยให้ search result ของร้านคุณดีขึ้น เพราะหากยิ่งมี comment ที่เป็น positive ก็จะช่วยให้ร้านของคุณมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น แต่หากเป็น negative วิธีแก้ปัญหาคือรีบตอบลูกค้าให้เร็วที่สุด แจ้งข้อเท็จจริงใช้คำตอบที่สุภาพ น้อมรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นและรีบหาทางแก้ไข และนำข้อติไปปรับปรุงให้ร้านของคุณดีขึ้น มีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

สรุป

การใช้ Google my business จะช่วยให้ร้าน หรือธุรกิจของคุณ ถูกค้นเจอบนโลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดายทั้ง Search และ Maps รวมถึงรูปภาพหน้าร้าน หรือรีวิวของลูกค้าคนอื่นๆ ยังช่วยให้แบรนด์ของคุณดูน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย Google my business เป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณมีลูกค้ามากขึ้นบนโลกออนไลน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเข้าใจลูกค้าว่าต้องการสิ่งใด แล้วธุรกิจของคุณสามารถตอบโจทย์ลูกค้าเหล่านั้นได้หรือไม่

ลากันไปด้วย Infographic สวยๆ จาก www.storetraffic.com เพื่อเพิ่มความเข้าใจในการใช้ Google my business

#SocialEnable #GoogleMybusiness

Ref: storetraffic

Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 หรือกรอกข้อมูลด้านล่าง แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

5 Content Marketing ที่ควรเลิกทำในปี 2018

อย่างที่ทราบกันดีนะครับว่ายุคนี้ เป็นยุคแห่ง Content ทุกBrand ทำ Content marketing กันหมด และใกล้เคียงกันหมด ซึ่งในปี 2018 ก็จะยังเข้มข้นขึ้นไปอีก เมื่อมีการแข่งขันมากขึ้น ก็จะทำให้ Content มีคุณภาพมากขึ้น เพราะต้องการแย่งชิงความสนใจจากผู้บริโภคบนโลกออนไลน์ แต่ก็ยังคงมี Content บางประเภทที่ควรแก้ไข เพื่อปรับให้ Content ของเราดีขึ้น ดังนั้นวันนี้เรามาดู  5 Content Marketingที่ไม่ควรทำในปี 2018 กันนะครับ

1.Content ที่เน้นแต่ปริมาณ 

         ในปี 2018 จะมีการทำ Content ที่มีความหลากหลายมากขึ้น การแข่งขันในการทำ Content ก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน สิ่งที่สามารถแย่งลูกค้าให้มาสนใจได้ก็คือ Content ที่มีคุณภาพ มีประโยชน์สามารถตอบโจทย์หรือแก้ Pain Point ของลูกค้านั้น ๆ ได้ นอกจากนี้ยังทำให้ติดอันดับใน Google ในหน้าแรก ๆ ด้วยเช่นกัน

2.การไม่ให้เครดิต หรือแหล่งที่มา 

         เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ควรขออนุญาตเจ้าของผลงานก่อน ไม่ว่าจะเป็นการ Post หรือนำรีวิวของลูกค้ามาแชร์ต่อ สำนักข่าว, Blog, เจ้าของภาพถ่าย ทุกคนล้วนควรที่จะได้เครดิต เพราะเป็นทั้งการเคารพผลงาน ชื่นชมหรือสนับสนุนผลงานนั้น ๆ ส่วนในประเทศไทยอาจจะยังไม่ให้ความสนใจกันมากนัก เนื่องจากกฎหมายที่ยังไม่รุนแรงพอ ไม่ตระหนักมากพอ

3.Content marketing ที่เกินความจริง

         บาง Content โพสต์โดยใช้พาดหัวข้อที่น่าสนใจ ดูเกินจริง เพื่อดึงดูดผู้อ่านได้ โดยหวังแค่ให้คน Click, Like, Engagement แค่นั้น แม้ Content แบบนี้จะเรียกคลิกได้ก็จริง แต่!! ภาพลักษณ์ของแบรนด์ก็อาจจะเสียไปด้วย หรือการให้ข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เขียนคำผิดหรือระบุข้อมูลผิดๆ ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงเช่นกัน จะทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์ดูไม่มีความเป็นมืออาชีพได้

4.Hard Sales รัวๆ

         ทำ Content ไม่ใช่เพื่อขายของอย่างเดียว บางครั้งขายมากเกินไป อาจทำให้ผู้อ่าน เบื่อกับโฆษณาที่ขายๆๆๆ จนทำให้ผู้อ่านรำคาญ และมองแง่ลบกับแบรนด์นั้นได้ ส่วนใหญ่แบรนด์ เลือกใช้ Social Media เพื่อสร้างการรับรู้ หรือสานสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้บริโภค 80% ของการโพสต์ Content ควรสนใจในการให้ความรู้ ความบันเทิง และสร้างการมีส่วนร่วม ส่วนอีก 20% ค่อยเป็นเรื่องของโปรโมชั่น หรือให้ข้อมูลของตัวผลิตภัณฑ์ก็ได้เช่นกัน

5.โพสต์ Viral แต่ไม่เกี่ยวกับ Brand

         บางครั้งการโพสต์ที่ไม่เกี่ยวกับแบรนด์ อย่างเช่น คลิปวิดิโอตลกๆ ที่ใครเห็นก็ขำ จนมียอดไลค์ของคลิปนั้นมาก แต่ถ้าไม่เกี่ยวกับแบรนด์เราเลย ก็ไม่ควรนำมาโพสต์ แต่หากอยากโพสต์เพื่อยอดไลค์ หรือ Viral แล้วทำไมไม่ลองคิดวิธีที่ทำให้เชื่อมกับแบรนด์เราล่ะ เช่น แคมเปญท้าห้ามหัวเราะเมื่อดูคลิปเรา หรือแคมเปญที่ออกแนวผ่อนคลาย ๆ เป็นต้น จะช่วยเชื่อมกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างดีเยี่ยม

สรุป

         ในปี 2018 นี้จะเป็นปีแห่งคุณภาพของ Content ที่จะทำให้ผู้อ่านได้เลือกอ่านกันอย่างหลากหลาย แต่อย่าลืมนะครับว่า Content ที่เราทำขึ้นมานั้นให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านนั้นจริงๆ ทาง SocialEnable ของเป็นกำลังใจให้ทุกๆท่านนะครับ

#Content #Trend2018 #เลิกกันเถอะ #Contentแบบนี้เลิกเถอะ

Credit : https://goo.gl/SdXi1w
https://goo.gl/KT99jR

Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 หรือกรอกข้อมูลด้านล่าง แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

VR (Virtual Reality) กับสิ่งที่นักการตลาดควรรู้

วันนี้เราจะพามาดูเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Virtual Reality (VR) หรือภาพโลกเสมือนจริง ซึ่งเราน่าจะคุ้นหูกันมาบ้างแล้วในช่วง 3-4 ปี โดย Mark Zuckerberg ที่มีความนิยมสูงที่สุดในโลกอย่าง Facebook พยายามผลักดันการใช้ VR ในหลายรูปแบบ เช่น การรองรับวีดีโอแบบ 360 องศา นอกจากนี้หลายอุตสาหกรรม เริ่มนำไปใช้ต่อยอดทางธุรกิจ ได้รับประโยชน์จากการพัฒนา VR ใช้ในด้านความบันเทิง ด้านการแพทย์ ด้านทหารหรือด้านการศึกษานั้นเอง

ต่างประเทศมีการใช้ VR เข้ากับด้านการศึกษา ทั้งศิลปะหรือด้านการแพทย์ เพื่อฝึกนักเรียนแพทย์ในการรักษาผ่าตัดรักษาอาการปวดของผู้ป่วย หรือด้านสถาปนิก ใช้ VR ออกแบบรถยนต์ที่ปลอดภัย รวมถึงสร้างอาคารที่แข็งแรง หรือใช้ในด้านการท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นต้น

ขณะที่ในประเทศไทยกำลังมาแรงในอุตสาหกรรม ‘‘เกมคอมพิวเตอร์’’ นำมาประยุกต์ใช้เข้ากับเกมต่าง ๆ เช่น รถไฟเหาะ เพื่อความตื่นเต้นและหวาดเสียว, เกมแนวสยองขวัญ จะพบความน่ากลัวตลอดตัวเกม เป็นต้น

ดังนั้นนักการตลาดอย่างเรา จะทำอย่างไร ในอนาคตอันใกล้สำหรับเทคโนโลยี VR เพื่อประยุกต์ หรือสามารถเป็นเครื่องมือในการสื่อสารทางการตลาดได้  วันนี้ทาง SocialEnable มี Tips สำหรับนักการตลาด ตามไปอ่านกันเลยครับ

 3 สิ่งที่นักการตลาดควรรู้ก่อนทำ Content VR

ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยี VR กลายเป็นเป้าหมายสำหรับการใช้ประโยชน์ในด้านการตลาด โดยสื่อต่างๆ และนักการตลาด ต่างเห็นว่า เทคโนโลยีนี้จะเป็นช่องทางในการทำ Digital Marketing มีบทบาทในการตลาดมากขึ้นในการสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภค (Consumer Experience) ผ่านการเล่าเรื่องของแบรนด์ได้อย่างสร้างสรรค์ (Brand Storytelling)  เมื่อแบรนด์เริ่มลองใช้ VR ในการทำ Content ต่างๆ ความคาดหวังของผู้บริโภคก็จะยิ่งสูงขึ้น ทำให้ตอนนี้มีหลายๆแบรนด์เริ่มปรับตัวกับเทคโนโลยีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักการตลาดต้องมองเห็น Future Trend Overview และใช้เทคโนโลยีก่อนที่ผู้บริโภคจะคาดหวังให้ธุรกิจนำมันมาใช้ ดังนั้นนักการตลาดควรรับมือกับ VR ได้อย่างไร? เราจึงมี 3 Tips มาฝาก

1.Brand Storytelling is Important. (Think beyond thirty seconds)

เมื่อ VR เข้ามา การทำ Video Content ที่ดีเพียงแค่ 30 วินาที อาจไม่เพียงพอเพื่อให้คนอินกับเรา นอกจากแบรนด์จะต้องเล่าเรื่อง(Brand Storytelling) ให้ออกมาดีแล้ว การเล่าเรื่องต้องสมจริงด้วย ที่สำคัญคือต้องมีปฎิสัมพันธ์โต้ตอบกับผู้ชมได้ ขยายคอนเทนต์เพื่อให้ได้รับประสบการณ์จากคอนเทนต์นั้นให้ลึกขึ้น หรือขยายออกเพื่อได้เห็นเรื่องราวที่แบรนด์อยากจะเล่า (Main Storyline) ดังนั้น VR จึงกลายเป็นสื่อที่ทำให้แบรนด์สามารถสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลาย และเล่าเรื่องหรือให้ประสบการณ์เหนือคำบรรยายให้แก่ผู้ชมได้ เช่น

กรณีของ Mercedes-Benz ในปี 2016 ร่วมกับ Kelly Lund เป็นคนที่ชอบแชร์รูปภาพ หรือวิดิโอในการไปผจญภัยตามสถานที่ต่างๆ พร้อมกับเจ้า Loki ซึ่งเป็นสุนัขของเขา ผ่านทาง Instagram โดยสร้าง Hashtag #MBphotopass ซึ่งใช้ Video 360 องศา ในรูปแบบ Virtual Reality (VR) ที่เป็นวิดีโอเกียวกับการผจญภัยของพวกเขา โดยมีรถ Mecedes รุ่น GLS sport ปี 2017 ซึ่งสามารถดึงดูดใจผู้ชมได้อย่างดี โดยหลังจากลง Video 360 องศา ใน Instagram ของ Mercedes-Benz USA ได้มีคนติดตามเพิ่มขึ้น 57,000 คน และ 40% ของคนเยี่ยมชมเว็บไซต์นั้นเป็นกลุ่มช่วงอายุ 18-34 ปี

2.ทำโลกเสมือนให้เป็นโลกจริง (Everything is amplified)

นอกจากภาพและเสียงที่เราเสพได้จริงแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับ VR คือ ประสาทสัมผัสที่เรารู้สึกกับมันจริงๆ เหมือนกับว่าเราเข้าไปในโลกเสมือนจริงๆ ดังนั้นคอนเทนต์ที่สามารถดึงประสาทสัมผัสของผู้ชมเข้าไปในอีกโลกหนึ่งได้ จะสามารถให้ประสบการณ์และความคาดหวังแก่ผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ผู้ชมจะสามารถจดจำแบรนด์ได้ดีอีกด้วย หากคอนเทต์ที่เน้นโฆษณามากเกินไป เกินกว่าที่ผู้ชมยอมรับได้ จะทำให้ผู้ชมรำคาญกับโฆษณาที่เราสื่อหรืออาจถึงกับมองภาพลักษณ์แบรนด์เราไม่ดีไปเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น

ดังนั้นการทำคอนเทนต์ที่ดี สามารถดึงผู้ชมเข้าไปในโลกเสมือนได้ จึงเป็นเรื่องยาก แต่หากทำได้ดีแบรนด์นั้นจะสามารถครองใจผู้ชมได้เป็นอย่างดีเยี่ยม

3.ศึกษาความเสี่ยงและข้อเสียของ VR

การสร้างประสบการณ์ผ่านอุปกรณ์ VR นี้จะกลายเป็น Product ทางการตลาดที่สำคัญของภาคธุรกิจได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยี VR นี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง รวมถึงเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ธุรกิจเองก็ต้องวิเคราะห์ตัวเองให้ลึกซึ้งถึงผลที่ตามมาก่อน รวมถึงผลได้ผลเสียจากการใช้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งในตอนนี้อาจมีเพียงธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถเข้าถึงลูกเล่นแบบใหม่นี้ได้ แต่ถ้าธุรกิจไหนที่มองว่าการลงทุนนี้คุ้มค่า และน่าเสี่ยงก็คงต้องลองหาวิธีเล่นกับแว่น VR ที่จะสามารถสร้างมิติใหม่ให้กับลูกค้าได้อย่างดีทีเดียว

ปัญหาของ VR

ราคา

ยังคงแพงสำหรับมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงทั่วไป โดยแว่น Oculus Rift ราคาเริ่มต้นที่ราว ๆ 21,000 บาท (600 เหรียญสหรัฐ) ส่วนราคาคอมพิวเตอร์ทั้งเซ็ตที่จะต้องใช้ในการรัน ก็มีราคาเฉลี่ยเริ่มต้นราว 52,000 บาท (1,500 เหรียญสหรัฐ) ส่วน HTC Vive คู่แข่งก็มีราคาเริ่มต้นที่ราว 28,000 บาท (800 เหรียญสหรัฐ) จึงไม่น่าแปลกใจหากอุปกรณ์ทั้งคู่จะสามารถทำยอดขายได้น้อยมาก

-User ยังน้อยอยู่

ส่วนใหญ่ผู้ใช้(User) ยังคงมีปริมาณที่น้อย มีแต่เนื้อหาประเภทเกม ซึ่งแม้ว่าเกมเมอร์ จะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มักทุ่มเงินไม่อั้นเพื่ออัพเกรดคอมพิวเตอร์ให้เป็นสเป็กล่าสุด และชอบลองของใหม่ แต่ต้องยอมรับอยู่ว่า ปริมาณผู้ใช้ที่มีอยู่อาจจะยังไม่มากพอที่จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับผู้พัฒนาเนื้อหาได้ ทำให้เนื้อหาได้รับการพัฒนาหรือผลตอบรับบน VR ยังน้อยมาก

ความอันตรายบน VR

VR กับเรื่องสุขภาพ เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่ในประเภทเกมยังคงมีเด็กและวัยรุ่น โดยทั่วไปแล้วการเล่น Smartphone จะมีระยะห่างจากดวงตาประมาณ 30 เซนติเมตร แต่การใช้แว่น VR จะมีระยะห่างอยู่เพียงไม่ถึง 10 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งการเล่น VR นั้นอาจจะมีผลข้างเคียงต่อดวงตาได้ นอกจากนี้การเล่น VR ครั้งแรกอาจจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะ มึนหัว แต่ถ้าใส่ไปหลาย ๆ ครั้ง อาจจะทำให้ให้ชินจนอาการนี้หายไปได้ แต่ถ้าใส่แว่นไปแล้วเกิดอาการรุนแรงต่อดวงตาหรือมึนหัวจนอยากอาเจียน ให้หยุดการสวมใส่ทันที เพื่อไม่เกิดอันตราย อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพดวงตา และสมองของเราได้ นอกจากนี้การที่เราสวมแว่น VR  ทำให้มีโลกเสมือนอยู่ในหัวและดวงตาของเรา ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมในโลกความเป็นจริงได้เลย ทำให้เราไม่รู้ว่าข้างหน้าเรามีอันตรายอยู่หรือไม่  ขณะเล่น VR เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย อย่างหกล้มหรือเดินชนสิ่งของ

สรุป

ตอนนี้จึงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยี VR กำลังเข้าสู่กระแสหลักมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีในตอนนี้นั้นพร้อมที่จะเอื้ออำนวยให้คนทำคอนเทนต์ได้มากขึ้น รวมถึงมีอุปกรณ์ VR ที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นคนทำการตลาดเองก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะนำเครื่องมือหรือความสร้างสรรค์มาใช้เทคโนโลยีนี้ยังไงดี และจะสร้างประสบการณ์ให้ผู้ชมได้มากขึ้นอย่างไร

Q : อนาคต VR จะปังหรือพัง ?

         VR จะเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกได้จริง? หรือจะเป็นแค่ของเล่นที่เราทิ้งไว้ เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ

ขอพลังจงสถิตอยู่กับนักการตลาดทุกท่าน

#VR#VirtualReality#BrandExperience #Marketing #SocialEnable

Credit : https://goo.gl/xws6hH
https://goo.gl/fnwj2g
https://goo.gl/kxpFU2

Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 หรือกรอกข้อมูลด้านล่าง แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

8 เทคนิค | ใช้ Social ยังไงให้เพิ่ม Engagement

โพสต์ไปไม่เห็นมีคนไลค์เลย? ใช้เงิน Boostpost ไปเยอะ แต่ Engagement ก็ยังไม่ดี?

ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีให้โพสต์ของคุณที่ผ่าน Social Media ต่างๆ ที่เพิ่ม Engagement เยอะกว่าเดิมเพื่อให้คุ้มกับเงินที่เสียไป SocialEnable ขอแนะนำ 8 วิธีเหล่านี้ไปใช้ดูด้วยกันนะครับ

1.กำหนดกลุ่มเป้าหมายของคุณ และทำความเข้าใจอยู่ตลอด

คุณต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ เพื่อที่จะหา Content มา Support ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายว่า เขามีความสนใจอะไร มีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่า หรือเรามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ หากเราเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคแล้ว จะช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เพราะยุคสมัยนี้ใครใคร ก็ชอบแชร์ในสิ่งที่เขาสนใจกันทั้งนั้น หากเราทำได้ตรงจุด จะช่วยเพิ่ม engagement ให้โพสต์ของคุณได้แน่นอน

2.ปรับโพสต์ให้เหมาะในแต่ละ Platform

เริ่มจากการเลือก Platform ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น Instagram เหมาะกับแบรนด์สินค้าประเภทแฟชั่น เสื้อผ้า หากคุณขายเครื่องเขียนก็อาจจะตัดช่องทางนี้ไป และเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

ถัดมาเป็นการเลือกใช้ข้อความให้เหมาะกับแต่ละ Platform ซึ่งแต่ละ Platform จะมีการจำกัดขนาดรูปและขนาดตัวอักษร เราจึงควรเขียนเน้นใจความสำคัญที่เราต้องการจะสื่อสาร เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นข้อความที่กระชับ รัดกุม ตรงประเด็นมากที่สุด

3.ทำ Content ประเภทข้อเท็จจริง สถิติหรือเทรนด์ ที่กลุ่มเป้าหมายไม่ทราบ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า

บางทีหากเราโพสต์ขายสินค้าโดยที่กลุ่มเป้าหมายยังไม่รู้ว่าสินค้านั้นมีประโยชน์กับเขาอย่างไร ทำไมเขาต้องเลือกซื้อสินค้าของเรา(Why us) ลองเพิ่ม Content ที่เกี่ยวกับการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าของเรา หรือเทรนด์ใหม่ๆ ที่มีสินค้าของเราเกี่ยวข้องลงไป จะช่วยเพิ่ม Engagement และความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าของเราได้ไม่น้อยเลย

นอกจากนี้การทำ Content ให้ตรงใจผู้บริโภคนั้น ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของ Content นั้นสามารถตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้จริง และสามารถแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้ หรือสามารถยกระดับชีวิตผู้บริโภคให้ดีขึ้น

4.ใช้ Influencer ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Influencer มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการเป็นอย่างมาก หากเลือก Influencer ที่ดัง แต่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา ก็อาจจะทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการเลือก Influencer เปรียบเสมือนการเลือกกลุ่มลูกค้าของแบรนด์เลย เพราะมีความชอบ หรือความสนใจที่คล้ายกัน เป็นอิทธิพลทางความคิดได้ จึงดีกว่าการที่เราเลือก Influencer ที่ดังแต่ไม่ตรงกับกลุ่มลูกค้า อาจทำให้เป็นที่รู้จักได้จริง(Awareness) แต่ยอดขายอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย ดังนั้นต้องดูวัตถุประสงค์ว่าเราต้องการอะไรจากการใช้ Influncer และกลุ่มลูกค้าที่เราต้องการนั้นใครเป็น Influencer ของเขา

5.เลือกเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์

ช่วงเวลาในการโพสต์เนื้อหาที่ดีที่สุดดูได้จาก Insight หลังบ้านของคุณว่าโพสต์เวลาไหนถึงจะมี Engagement เยอะที่สุด และเหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด รวมไปถึงเช็คความถี่ในการโพสต์ หากช่วงที่เราโพสต์บ่อยเกินไป อาจทำให้คน unlike เพจของเราได้ ดังนั้นการเลือกเวลาที่ดีที่สุดต้องคำนึงถึงวันที่โพสต์ ช่วงเวลาที่โพสต์ และประเภทของ Content ที่เราจะโพสต์ออกไป ตัวอย่างเช่น หากเป็นช่วงเวลาเช้าในวันธรรมดา ควรเป็น Content ประเภท Short-form แบบ Video Content 60 วินาที หรือช่วงเวลากลางคืน 2-3 ทุ่ม อาจจะใช้ Content ประเภท Long-form แบบ Picture&Text ดูก็ได้เช่นกัน จะเห็นว่านอกจากการเลือกเวลาที่ดีในการโพสต์แล้ว ต้องสอดคล้องกับประเภทของ Content ด้วย

6.ใช้ Video Content ในการโพสต์

มีผู้ใช้งาน Facebook ดูวีดีโอวันละ 8 ล้านคลิป สถิติที่เยอะขนาดนี้มาจากการที่ลูกค้าชอบที่จะดูภาพเคลื่อนไหวมากกว่าที่จะมานั่งอ่านข้อความยาวๆ ที่อธิบายถึงคุณสมบัติของสินค้าคุณ ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น แถม Facebook ยังให้ความสำคัญกับวีดีโอ มีโอกาส Reach สูงกว่าโพสต์ที่เป็นข้อความยาวๆ และมี engagement ดีกว่า การศึกษาพบว่า การ Post ที่เป็น Video ได้ Organic Reach สูงกว่าโพสต์ประเภทรูปภาพถึง 135% และคนจะจดจำเนื้อหาจาก Video ได้ดีกว่า Text ถึง 7 เท่า จะเห็นว่า Video Content ยังคงใช้ได้ผลในแบบ Organic Reach เมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น ซึ่งทางเราแนะนำว่า วิดิโอส่วนใหญ่ควรที่จะยาวไม่เกิน 3 นาที

7.การเข้าร่วม Community ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ช่วยหา Insight ได้ง่าย

การเข้าร่วมกลุ่มต่างๆ ใน Social Network ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เป็นที่หา Insight ของลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม เพราะส่วนใหญ่ใน Group เหล่านี้จะมีคนมาถามปัญหาต่างๆของตัวเอง หรือแชร์ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เช่น หากเราขายสินค้าเกี่ยวกับเด็กแรกเกิด ในกลุ่มคุณแม่จะมีการพูดคุยถึงปัญหาที่เราสามารถนำปัญหาเหล่านี้มาเขียน Content เพื่อให้ความรู้และผลิตสินค้าใหม่ๆ เพื่อมารองรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้

8.ลองถาม Feedback จากลูกค้า

การให้ลูกค้ามารีวิวสินค้าของเราหรือสอบถามการใช้งานจากลูกค้า ทำให้เราทราบถึงปัญหาว่าสินค้าและบริการของเราว่า มีข้อดีข้อเสียที่ตรงไหน มีอะไรที่ขาดตกบกพร่องไป เพื่อที่จะนำมาปรับปรุง และให้ลูกค้าเกิดความประทับใจต่อไป เป็นการให้ลูกค้าของเราแสดงความคิดเห็นรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกยินดีที่จะบอกทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อปรับปรุงสินค้าหรือบริการของเราที่ลูกค้าต้องการ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับเนื่องจากแบรนด์เราปรับปรุงตามคำเรียกร้องของลูกค้า สิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกค้ามี Engagement และ Loyalty กับแบรนด์มากยิ่งขึ้น

สรุป

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ได้ช่วยเพียงแค่ให้ Engagement ของคุณสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจของคุณพัฒนาต่อไปได้อย่างก้าวกระโดด และยังรักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่นานๆ หรือเพิ่มลูกค้าใหม่ของคุณได้อีกด้วย

#SocialEnable #8Tipsboostengagement #โพสต์ไปไม่เห็นมีคนไลค์เลย


Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 หรือกรอกข้อมูลด้านล่าง แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

Contact us

What SocialEnable do ?

Watch our 1 minute for SocialEnable