Category: Digital Marketing

3 วิธีปกป้องแบรนด์จาก FAKE NEWS ด้วย Social Listening Tool

Step 1: Respond directly

สิ่งที่ต้องทำอย่างแรก คือการตอบกลับถึงผู้ที่ปล่อยข่าวปลอมโดยตรง ถ้าเป็นการทวีต หรือโพสต์เฟสบุ๊ค ก็สามารถตอบกลับแบบ Reply หรือคอมเมนท์ใต้โพสต์ด้วยคำสุภาพและเป็นมิตร โดยเนื้อหาในการตอบกลับควรเป็นการไขข้อข้องใจ หรืออธิบายให้กระจ่าง มากที่สุด และชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นที่ไม่เป็นความจริง การตอบกลับนั้นจะไปอยู่ใต้โพสต์ของ Fake news หรืออยู่ใน thread ซึ่งจะแสดงผลใต้โพสต์ Fake news ทุกครั้งเมื่อมีผู้ใช้รายอื่นๆเข้ามาอ่าน

Step 2: Find and respond to people reacting

ถึงเวลาที่เราจะต้องรับมือกับม็อบบนสื่อออนไลน์ที่เข้ามาโจมตีหรือใส่ไฟให้กับข่าวปลอม ปัญหาคือเราในอยู่ยุคที่ Internet เข้าครอบงำ ทำให้ทุกๆคอนเทนต์ง่ายต่อการเผยแพร่และง่ายต่อการเสพ แบรนด์จึงไม่มีเวลาให้แก้ปัญหาได้ทันเหมือน Crisis เมื่อ fake news ถูกเผยแพร่ออกไปบนแพลตฟอร์มแล้วนั้น ก็อาจจะต้องสูญเสียภาพลักษณ์แบรนด์ไปแล้วส่วนหนึ่ง เพราะความรวดเร็วของการแพร่กระจาย สื่อ แพลตฟอร์มต่างๆที่เอื่ออำนวย และไม่ใช่ยูสเซอร์ทุกคนที่มี media literacy อาจจะทำให้ยากต่อการเรียกคืนความไว้เนื้อเชื่อใจต่อแบรนด์ แต่ถึงกระนั้น แบรนด์ควรค้นหาลูกค้าที่เป็นบุคคลสำคัญ ลูกค้าที่เป็น Brand Loyalty เพื่อที่จะติดต่อหาโดยตรงเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับข่าวปลอม โดยใช้ Social Listening Tools เพื่อดูการแพร่กระจายของของข่าว และค้นหาผู้ใช้ที่เป็นลูกค้าของเราที่กำลังพูดถึง Fake News จากนั้นคุณสามารถตอบสนองลูกค้าเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง

Step 3 : Use content to set the facts straight

วิธีนี้อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยหยุดยั้งความเชื่อผิดๆของผู้คน ด้วยการแทนที่ด้วยเนื้อหาที่อธิบายข้อเท็จจริง ที่จะช่วยแก้ไขข้อมูลที่ผิด และช่วยซ่อมแซมชื่อเสียงที่เสื่อมเสียไป กุญแจสำคัญคือกลยุทธ์  หรือเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรก็ได้ที่ทำให้เกิด Engagement 

หากแบรนด์กำลังโดนโจมตีเรื่องการให้บริการลูกค้าและตีความแบบผิดๆ สิ่งแรกที่ควรทำคือควรหยุดคอนเทนต์ที่แพลนเอาไว้ก่อน และสร้างคอนเทนต์ที่เป็นข้อเท็จเท่านั้น หากคุณกำลังโพสต์คอนเทนต์หัวข้ออื่นๆตามแพลนที่ได้วางไว้ โดยไม่เกี่ยวกับ Fake news ที่เกิดขึ้น  ผลคือ ผู้คนและลูกค้าอันเป็นที่รักของคุณจะมองว่าแบรนด์กำลังพยายามบ่ายเบี่ยงข้อกล่าวหานั้นๆ ทั้งนี้ ก่อนที่จะทำคอนเทนต์ เราควรเช็คดูว่ามีข่าวประเภทไหนที่โจมตีเราบ้าง ประเด็นไหนที่ไม่เป็นความจริง ประเด็นไหนที่คนเข้าใจผิดเยอะที่สุด ต้นตอของข่าวปลอมอยู่ตรงไหน เราสามารถเช็คได้ด้วย Social Listening Tools ด้วยการเซ็ท Monitoring Keyword และลองดูว่าแบรนด์กำลังมีประเด็นอะไรที่กำลังกลายเป็น Talk of the town เราสามารถจับประเด็นเหล่านั้นมาทำคอนเทนต์ สมมุติว่า Fake news คือมีคนตีความนโยบายการจ้างงานของบริษัทคุณแบบผิดๆและมีการแชร์โพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้จนกลายเป็นไวรัลไปเสียแล้ว คุณสามารถสร้างคอนเทนต์ที่มีการสอดแทรกความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง เพื่อเรียกคืนความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจกลับมา 

How to ใช้ Social Listening Tools ช่วยในการทำ Personalization Marketing

เมื่อลูกค้าของคุณรู้สึกรำคาญใจเมื่อเราไปตามตอแย เสนอโปรโมชั่นแบบหว่านแห ทั้งๆที่เราเองก็ไม่รู้ว่าลูกค้าจะสนใจมั้ย ทำไมแบรนด์ไม่ลองทำ Personalization เพื่อล่นระยะเวลาและเพิ่มความคุ้มค่า แถมยังลดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด ถ้าจะให้ร่ายเรียงข้อดีของการทำ Personalization อาจจะมีเพียงสามสี่ข้อสำคัญที่ทำให้การตลาดของแบรนด์คุณนั้นพัฒนาขึ้น ข้อดีของการทำ Personalization มีดังต่อไปนี้

– การทำ Personalization จะทำให้ลูกค้ามีทัศนคติที่ดีกับแบรนด์มากขึ้น สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

– ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินให้กับแบรนด์มากขึ้น

– ทำให้ relationship ของแบรนด์กับลูกค้าดีมากขึ้น

– ยุคการตลาดที่ล้วนใช้ Bigdata เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมของทำให้รู้จักลูกค้ามากขึ้น และ Technology ล้นมือ ทั้ง VR AI AR ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราเข้าถึงข้อมูลพวกนั้นได้ง่ายขึ้น

นี่คือข้อดีเพียงไม่กี่ข้อเท่านั้นที่อาจจะส่งผลดีในระยะยาวให้กับแบรนด์ แต่ทว่าจะใช้ Social Listening tools เข้ามาช่วยในการทำ Personalization อย่างไร ทางเรามีวิธีมาบอกกล่าวกันถึง 3 วิธีด้วยกัน

1. ใช้ Social Listening Tools ช่วยในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะให้ชัดเจน

โดยสามารถ Set Keyword ที่เกี่ยวกับแบรนด์ เช่น ชื่อของแบรนด์ ชื่อของสินค้า หรือ Keyword อื่นๆที่ต้องการ เพื่อค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมายคิดอย่างไร มีความต้องการอย่างไร มีทัศนคติอย่างไรบนโลกออนไลน์ ประโยชน์หลักของการใช้เครื่องมือ คือสามารถเข้าถึงข้อมูลของกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะกลุ่มได้ง่ายขึ้น และเราสามารถกำหนดเป้าหมายเฉพาะตามความสนใจหรือพฤติกรรมการซื้อของพวกเขา โดยสามารถติดตามผลได้อย่าง Real – time สิ่งที่ลูกค้าพบเจอ สิ่งที่ลูกค้าตำหนิ สิ่งที่ลูกค้าชื่นชม อะไรที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ข้อมูลเหล่านี้จะแสดงผลทันทีบนหน้าจอ Dashboard ทำให้เราสามารถจัดระเบียบข้อมูลเพื่อทำการสรุปพฤติกรรมและบุคลิกของกลุ่มลูกค้าได้ง่ายขึ้น

2. ใช้ Social Listening Tools ช่วยในสร้างคอนเทนต์ให้โดนใจ

Content is king คอนเทนต์คือพระเอกที่จะทำให้เราสามารถโดดเด่นเหนือคู่แข่ง เพราะฉะนั้นการสร้างคอนเทนต์ที่ดี และมีเอกลักษณ์ จะสามารถสร้างการจดจำให้ลูกค้าได้ดีที่สุด
เราอาจจะเริ่มด้วยการใช้ Keyword ที่เกี่ยวกับแบรนด์ ชื่อของแบรนด์ ชื่อของผลิตภัณฑ์ หรือ Set Keyword ที่เกี่ยวกับเรื่องราวบนโลกOnline มีทั้งการโฆษณา การรณรงค์ งาน Event ต่างๆต้องมีชื่องาน ชื่อHashtag  นอกจากนี้ ยังสามารถ Set Keyword ที่เกี่ยวกับคู่แข่ง สำรวจว่าคอนเทนต์แบบไหนประเภทใด คีย์เวิร์ดไหนที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคมากที่สุด  เพื่อศึกษาดังต่อไปนี้

1. หัวข้อ และประเภทของคอนเทนต์ที่ผู้คนส่วนใหญ่สนใจ มีความคิดเห็นและทัศนคติอย่างไรกับบทความนี้
2. รูปแบบเนื้อหาใดที่ผู้ชมชื่นชอบ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าชอบอ่านแบบบล็อกที่สั้นกระชับได้ใจความ หรือชอบแบบรูปภาพมากกว่า
3. แฮชแท็ก และคีย์เวิร์ดใดถูกให้ความสนใจ และมี Engagement มากที่สุด Keyword ที่ใช้บ่อยที่สุดคืออะไร

3. ใช้ Social Listening tools ช่วยในการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับลูกค้า

แบรนด์อาจจะต้องมองหาช่องทางในการเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้าซักหน่อย หลังจากที่กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เราต้องการแล้ว ก็อาจจะต้องสร้างความสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ โดยการที่เราได้ Set keyword ที่กล่าวมาข้างต้น สามารถตรวจสอบได้ว่าลูกค้าของคุณใช้โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มไหนมากที่สุด หากคุณมี Social Listening tools อยู่ในมือ จะช่วยให้คุณเห็นรีวิว หรือคำพูดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ หากเจอคอมเมนต์ในแง่ลบ คุณสามารถตอบกลับหาลูกค้าของคุณได้ทันที และยังสามารถ Monitor ได้หลายแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น Facebook Instagram Twitter Pantip Blog และ News

นับว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถสอดส่องข้อมูลได้ครบ 360 องศาเลยทีเดียว

อีกทั้ง Socialenable ยังมีระบบในการติดตามและ assign งานให้ทีมต่างๆ ได้ ช่วยสร้างความพึงพอใจลูกค้าได้ในระยะยาว และยังแก้ปัญหาการตอบแชทซ้ำกัน สามารวัดผลการทำงานของ Agent เช่น วัดระยะเวลา ตอบเร็ว ตอบช้า หรือปริมาณที่ตอบ
สามารถจัดอันดับความสำคัญในการตอบคำถามได้อีกด้วย


#SocialEnable

ไขข้อสงสัย! เนื้อหาบน Twitter แบบใด ที่สร้าง Engagement ได้ดีที่สุด

ทวิตเตอร์ กลายเป็นแพลตฟอร์มยอดฮิตที่ใครๆก็ต่างเข้าไปติดตามข่าวสาร อัพเดทเรื่องราวของตนเอง ไม่แปลกที่ยอดผู้ใช้งานบนทวิตเตอร์พุ่งสูงมากในประเทศไทย  กลายเป็นแพลตฟอร์ม “Look At This” เป็นสื่อกลางในการพูดคุยสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องราวที่กำลังเป็นกระแส หรือเนื้อหาที่เจาะจงเฉพาะกลุ่ม หากสังเกตเทรนด์ทุกวัน จะเห็นได้ว่ามีแฮชแท็กต่างๆมากมายที่เราอาจจะเข้าไม่ถึง อาจเป็นแฮชแท็กเกี่ยวกับแฟนคลับกลุ่มใดกลุ่มนึงออกมาติดแท็กเพื่อสุขสันต์วันเกิดศิลปินที่ชื่นชอบ หรืออาจเป็นแฮชแท็กข่าวสารบ้านเมืองต่างๆก็เป็นได้

หากต้องการทำการตลาดบนทวิตเตอร์ ควรจะฟังผู้บริโภคให้มาก เกาะติดกระแสอยู่เสมอ และศึกษารูปแบบการโพสต์มากมายที่เรียกยอด Engagement ได้ดี ประเด็นไหน รูปแบบการโพสต์แบบไหน เป็นแบบที่ผู้ติดตามชอบ ทาง Quiksprout ได้ทำการสำรวจกว่า 398,582 ทวีต และได้นำมาวิเคราะห์เกี่ยวกับรูปแบบการโพสต์

ผลคือ

1. การโพสต์แบบรูปภาพ จะได้รับ Engagement มากกว่าวิดีโอ

ผู้ใช้งานบน Twitter ทวีตภาพมากกว่าวิดีโอ มากถึง 361% สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือ จำนวนที่กดไลค์และรีทวีต โพสต์แบบภาพ มักจะได้รับการรีทวีตมากกว่าวิดีโอ 128% แต่วิดีโอจะได้รับความนิยมมากกว่าภาพ 49%

video vs image twitter
image type twitter

62% เป็นรูปภาพที่ตลกขบขัน ส่วน 38% เป็นรูปภาพแบบอื่น

2. ข้อความทำงานได้ดีกว่าภาพ

ใครจะคิดว่า การโพสต์แบบข้อความนั้นจะเรียกความสนใจได้ดีกว่าภาพ 93% ของทวีตทั้งหมดที่ได้ทำการวิเคราะห์มานั้น จะเป็นแบบข้อความที่ไม่มีภาพหรือวิดีโอใด ๆ

สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น คือ 65% ของทวีตข้อความที่มีลิงค์แปะมาด้วย เพื่อเป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ โดย 85% นั้นมีการรีทวิตและให้ความสนใจกับโพสต์ นอกจากนี้หากคุณสทวีตไม่เกิน 100 ตัวอักษรจะ Engagement จะเพิ่มขึ้น 17%

image video text twitter

3. มีการโพสต์ลิงค์บทความแบบ List และ How to

การโพสต์ด้วยลิงค์บทความที่เป็น List และ How to จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับทวีตนั้นๆ โดยเฉลี่ยแล้วได้รับการรีทวีตมากกว่าเนื้อหาแบบข้อความประเภทอื่นๆมากถึง 3 เท่าเลยทีเดียว เนื่องจากบทความแบบ List และ How to จะค่อนข้างสั้นกระชับได้ใจความ และจะให้ประโยชน์กับผู้ที่เข้ามาอ่าน ทั้งนี้ทั้งนั้น บทความนั้นๆต้องไม่ขายของมากจนเกินไป อาจจะสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่เข้ามาอ่านก็เป็นได้

และสิ่งที่สำคัญ อาจจะต้องมีภาพ หรือแบรนด์เนอร์ที่น่าสนใจ ดึงดูด ผู้ใช้ทวิตเตอร์บางท่าน เลื่อนดูหน้าทามไลน์ด้วยความเร็วสูง และยังมีการที่ทวิตเตอร์รีเฟรชทามไลน์ให้ผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เราอาจจะมีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ที่ทำให้แบรนด์เนอร์ของบทความนั้นเตะตาผู้ใช้งาน

how to text twitter

4. ทวีต ติดโพล

การเปิดโพลล์ จะทำให้ให้ผู้ใช้ได้เข้ามามีส่วนร่วม และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสนุกหรือการออกความคิดเห็น การโพสต์พร้อมการฟีเจอร์นี้จะทำให้คอนเทนต์ไม่น่าเบื่อ

นี่คือตัวอย่างทวีตที่เล่นกับโพลที่ประสบความสำเร็จ โดยโพลล์นี้มีผู้ร่วมโหวตมากถึง 132,757 ยูสเซอร์ และมีการรีทวิตมากถึงสองพันกว่ารีทวิต ถือว่าได้รับ Engagement เยอะมากเลยทีเดียว

5. โพสต์ด้วย QuotePic

เมื่อการวิเคราะห์เกี่ยวกับการทวีต พบว่ามีคำพูดเจ๋งๆมากมายที่มีแนวโน้มที่จะได้รับการรีทวีตมากถึง 847% เป็นตัวเลขที่เยอะมาก และก็ไม่น่าแปลกใจ ผู้ใช้ที่ทวีตเกี่ยวกับคำคม มักจะได้ผู้ติดตามเพิ่มขึ้นถึง 43%

ในทางกลับกัน การโพสต์แบบตั้งคำถาม จะได้รับการตอบกลับ หรือมีการ Replay มากกว่า Quote มากถึง 1050%  ดังนั้น เราควรตระหนักก่อนโพสต์ว่าเราอยากได้ผลลัพธ์แบบไหน หากอยากได้ Conversation อาจจะต้องโพสต์แบบเป็นการตั้งคำถาม หรือหากต้องการยอดแชร์ ยอดรีทวีต ก็อาจจะต้องโพสต์แบบเป็นคำคม ถ้าต้องการสร้างแบรนด์ด้วย Quote อาจจะต้องมีเทมเพลตที่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ และอย่าลืมติดแฮชแท็กประจำแบรนด์ หรือโลโก้ เพื่อเป็นการสร้างการตระหนักรู้

quotes


source : https://www.quicksprout.com/twitter-engagement/

Facebook ได้เผยแพร่งานวิจัยใหม่! “การส่งข้อความ” เพื่อการขายผ่านสื่อออนไลน์มีการเติบโตเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันมีผู้ใช้งานรับ-ส่งข้อความด้วยแอพพลิเคชั่นเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องตระหนักว่าจะมีวิธีอย่างไรในการเข้าถึงเทรนด์ต่าง ๆ และทำอย่างไรถึงจะได้ประโยชน์ทางการตลาดจากกลุ่มผู้ใช้งานกลุ่มนี้

ในการทำวิจัยครั้งนี้ Boston Consulting Group ได้ทำการสำรวจออนไลน์ ในกลุ่มผู้ใช้งานจำนวน 8,864 คน เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งานทางข้อความ ซึ่งปรากฏว่าส่วนใหญ่ใช้งานข้อความเพื่อการซื้อ-ขายสินค้า อย่างที่ทราบกันดีว่าข้อมูลสินค้าและราคาเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากลูกค้า แต่ในความเป็นจริงแล้วความรวดเร็วในการโต้ตอบระหว่างผู้บริโภคและแบรนด์ก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน ซึ่งนั่นชี้ให้เห็นถึงโอกาสต่างๆที่แบรนด์จะนำมาพัฒนาการบริการที่ดีขึ้น เช่น การตอบกลับลูกค้าโดยได้ทันทีทันใด เพื่อสื่อให้เห็นถึงความใส่ใจและสร้างความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์

“ผู้บริโภคส่วนมากมีพฤติกรรมซื้อ – ขายผ่านทาง Social media และกว่า 90% การซื้อ-ขายจะเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม Facebook (Facebook, Messenger, WhatsApp และ Instagram)”
นั่นคือประเด็นสำคัญที่แบรนด์ต้องนำมาสร้างกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ใช้งานให้มากขึ้น

“พฤติกรรมการซื้อ-ขายผ่านทางแอพพลิเคชั่นรับ-ส่งข้อความ ไม่ได้เติบโตเฉพาะแค่ในกลุ่มของผู้ซื้อขายออนไลน์เท่านั้น แต่ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายอื่นๆเช่นกัน”

จากการวิจัยพบว่าการมีปฎิสัมพันธ์โต้ตอบระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคแบบทันทีทันใด จะช่วยเพิ่มความมั่นใจที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ได้อีกด้วย ดังนั้นการใช้ข้อความตอบกลับแบบอัตโนมัติจึงช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ และยังเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าอีกด้วย ซึ่งในอนาคตผู้บริโภคส่วนใหญ่กลุ่มนี้ มีแนวโน้มที่จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่ : คลิก

Source : https://www.socialmediatoday.com/news/facebook-publishes-new-research-into-the-growth-of-messaging-for-commerce/563547/

6 ข้อผิดพลาดของการทำ Content marketing ที่ทำให้คุณล้มเหลว

ปัจจุบันการทำ Content marketing เป็นที่นิยมมาก อาจเป็นเพราะลงทุนในเม็ดเงินที่น้อย แต่อาจเพิ่มโอกาสในการขายได้สูง จากการสำรวจโดยสถาบันการตลาดพบว่า 92% บริษัทมองว่า content เป็นสินทรัพย์ของบริษัท ดังนั้นนักการตลาดจำเป็นต้องมี Content marketing ที่ดีที่จะสามารถเพิ่ม Traffic ให้กับทุกๆแพลตฟอร์มที่เราได้ทำการตลาดลงไป และยังสามารถเพิ่ม ROI เพื่อให้ได้รับผลตอบลัพธ์ที่ดีที่สุด

1. ไม่มีการ Reusable content

การสร้าง content ที่มีคุณภาพ แน่นอนว่าต้องใช้ระยะเวลา จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่นักการตลาดต้องสร้าง Content ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุดบนช่องทางสื่อ social media ต่างๆ นักการตลาดสามารถเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงให้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น อาจมีการปรับเปลี่ยนจากการโพสต์ใน blog เปลี่ยนเป็นการทำ infographic หรือ วิดีโอ ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีในการใช้นำ content กลับมาใช้ใหม่ที่มีรูปแบบการโพสต์ลงสื่อ social ที่แตกต่างกันไป

2. ไม่มีการสร้างกลยุทธ์

นักการตลาดต้องสร้าง content ที่เป็นกลยุทธ์ในแต่ขั้นตอน และกระบวนการที่จะสามารถกระตุ้นกลุ่มผู้ซื้อหรือกลุ่มเป้าหมายได้ ให้มีการตอบสนองและการตระหนักรู้กับแบรนด์บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์บน blog หรืออาจจะเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบ E- books เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น

3 ไม่ให้ความสนใจกับกลุ่ม User-generated content

User-generated content คือผู้บริโภคที่ผลิต content นั้นด้วยตัวเอง โดยที่แบรนด์ไม่จำเป็นต้องเสียเงินไปจ้าง มีทั้งในรูปแบบ ถ่ายรูปสินค้า วิดีโอ หรือ blog จากการศึกษาของ Reevoo ผู้คน 70% มีความมั่นใจและเชื่อถือในสินค้าที่มาจากผู้ใช้จริงมากกว่า หากนักการตลาดไม่ให้ความสนใจในกลุ่มของ User-generated content ถือว่าพลาดโอกาสสำคัญเลยทีเดียว ซึ่งนักการตลาดสามารถจัดแคมเปญที่ให้กลุ่ม User-generated content ได้มีส่วนร่วม ผ่านทางช่องทาง social media ต่างๆ เช่น Facebook และ Instagram เพื่อเพิ่มการเข้าถึงของแบรนด์ได้มากขึ้นอีกด้วย

4. Content ไม่ได้รับอนุมัติ

ก่อนที่จะทำการเผยแพร่ content ลงบนสื่อ social media ต่างๆ นักการตลาดควรตรวจสอบองค์ประกอบต่างๆ เพื่อที่จะได้ทำการเผยแพร่ได้ในเวลาที่เหมาะเจาะ และนักการตลาดควรตรวจสอบการอนุมัติ content ในทุกขั้นตอนเพื่อติดตามผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย

5. ไม่มีการตรวจสอบประสิทธิภาพของ Content

หนึ่งในข้อที่นักการตลาดทำผิดพลาดมากที่สุด คือการไม่ตรวจสอบประสิทธิภาพของ content บนแพลตฟอร์มก่อนโพสต์และหลังโพสต์ลงบน social media

ตัวอย่างเช่น เราควรตรวจสอบก่อนทุกครั้งว่า Content แบบไหนควรใช้กลยุทธ์แบบไหนก่อนโพสต์ทุกครั้ง เพื่อประสิทธิภาพที่สูงสุด และควรดูผลลัพธ์หลังโพสต์ทุกครั้ง
ซึ่งนักการตลาดที่ดี ควรรอบรู้เรื่องของมาตรวัดต่างๆบนแพลตฟอร์มที่เราใช้ทำ Digital Marketing เพื่อที่จะได้นำมาวัดและประเมิณประสิทธิผล Content ทุก Content ที่เราได้ทำการอัพเดตผ่านแพลตฟอร์ม

6. ไม่มีการ Promote content

อาจเสียเปรียบอย่างมากถ้าไม่ลอง Promote Content ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง
ซึ่งมีแนวปฏิบัติ 80/20 คือใช้เวลา 20% ในการสร้าง Content และอีก 80% เพื่อ Promote ผ่าน Social media ต่างๆเช่น blog อีเมลล์ หรือที่นิยมกันก็คือการบูสต์โพสต์บนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊คอินสตาแกรม เป็นต้น

Source : https://www.socialmediatoday.com/news/6-content-marketing-mistakes-youre-still-making-and-how-to-avoid-them/563047/

มีผลกระทบอย่างไร หาก Facebook ซ่อนยอดไลค์อย่างเป็นทางการ?

 

 

 

หากคุณนั้นดีใจกับยอดไลค์ที่เพิ่มขึ้นหลังจากได้ลงรูปซักรูป และรู้สึกนอยด์ถ้าหากยอดไลค์น้อยตามที่ได้คาดหวังไว้ คุณอาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Platform ยอดนิยมอย่าง Instagram และ Facebook เมื่อในงาน F8 developer conference งานสัมมนาที่ทางบริษัทได้จัดขึ้นทุกปีเพื่ออัพเดทข่าวสารและนวัตกรรมใหม่ เผยถึงประเด็น Digital Well Being และอิงถึงพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ที่มักจะโหยหาและเสพติดยอดไลค์เป็นจำนวนมาก อาจส่งผลกระทบถึงสภาพจิตใจ และอาจเป็นปัญหาสะสม ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตก็เป็นได้

 

 

(credit: https://techcrunch.com/2019/04/30/instagram-hidden-like-counter/)

 

เมื่อไม่นานมานี้ Instagram จึงเริ่มทดลองซ่อนจำนวนไลค์ โดยทดสอบที่ประเทศแคนาดาเป็นที่แรก และขยายเพิ่มอีก 6 ประเทศ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่เผยข้อมูลใด ๆ และยังไม่มีใครทราบได้ว่าการซ่อนสถิติที่เรียกว่า “ Like” ในอินสตาแกรมนั้นเวิร์คหรือไม่

ล่าสุดการซ่อนยอดไลค์ได้ลามมาถึงแพลตฟอร์ม Facebook เมื่อ Jane Manchun Wong นักวิจัยแอพพลิเคชั่นและบล็อคเกอร์ด้านเทคโนโลยี ได้โพสต์เกี่ยวกับยอดไลค์ที่ถูกซ่อนบนโพสต์ของเธอ ปรากฏเพียงแค่ชื่อของผู้ที่มา React และ Emoticon เท่านั้น

 

Image

(credit: https://twitter.com/wongmjane/)

 

จะเห็นได้ว่า Facebook เริ่มให้ความสำคัญกับการซ่อนยอดไลค์ถึงขนาดลองเปิดใช้งานทั้งสองแพลตฟอร์มยอดฮิต จึงทำให้ชาวเน็ตตื่นตัวกับการทดสอบครั้งนี้ไม่น้อย แต่ทว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหากมีการซ่อนยอดไลค์จริง? มีผลกระทบอย่างไรกับแบรนด์หาก Facebook ซ่อนยอดไลค์อย่างเป็นทางการ? ทาง SocialEnable ได้สรุปไว้ 4 ข้อ ดังนี้

1. หากยอดไลค์นั้นหายไป จะไม่สามารถวัดความความน่าสนใจของ Content ได้จากยอดไลค์ แต่ข้อดีคือ ผู้ใช้จะหันมาสนใจในเนื้อหา Content ของแบรนด์มากขึ้น

2. มีผลกระทบถึงการเลือก Influencer สำหรับโปรโมตแบรนด์ หรือการวัดผลของเนื้อหาเกี่ยวกับแบรนด์ที่ Influencer ได้ทำการโพสต์ไป เนื่องจากแบรนด์จะไม่สามารถเปรียบเทียบความนิยมของ Content ต่างๆได้จากยอดไลค์อีกต่อไป

3. ความกังวลเรื่องยอดไลค์ของผู้ใช้จะลดลง ยอดไลค์จะเริ่มไม่มีอิทธิพลในใจของผู้ใช้อีกต่อไป มาตรวัดอื่นจะมีบทบาทมากขึ้น

4. ไม่สามารถวัดความน่าเชื่อถือของโพสต์ หรือสร้าง First Impression ที่ดีได้จากยอดไลค์ ผู้ใช้อาจวัดความน่าเชื่อถือของโพสต์ได้จากมาตรวัดอื่น

 

เมื่อไม่นานมานี้ ทาง Techcrunch สำนักข่าวด้านเทคโนโลยีได้ติดต่อสอบถามทางบริษัท Facebook เกี่ยวกับการซ่อนยอดไลค์ครั้งนี้ว่าเป็นจริงหรือไม่ และได้รับการตอบกลับมาว่าได้ทำการทดสอบจริง แต่ยังไม่ได้คอนเฟิร์มว่าจะดำเนินการซ่อนยอดไลค์ต่อไปในอนาคต อาจจะต้องเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะได้รับผลกระทบในทางลบน้อยที่สุด

 

 

 

5 ข้อผิดพลาด การทำการตลาดบน Instagram ที่จะทำให้แบรนด์เติบโต

 

 

การทำการตลาดบน Instagram อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อมี Business Account มากกว่า 25 ล้านแอคเคาท์ และมีมากกว่า 200 ล้านการเข้าชม แต่กลับได้รับความสนใจจากผู้ใช้ที่ไม่ได้ตรงกลุ่มเป้าหมายนัก อย่างไรก็ตาม มีแบรนด์จำนวนมากที่ทำผิดพลาดจากการใช้ Instagram เป็นแพลตฟอร์มในการทำการตลาด แต่เป็นข้อผิดพลาดที่สามารถแก้ไขได้ง่าย และมันจะช่วยให้แบรนด์ของคุณเติบโตขึ้น ลองดู 5 ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับการทำการตลาดบน Instagram และวิธีการแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำสองอีก

 

1. ขาดการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย

หากคุณได้ทำการโพสต์ลง Account ซักโพสต์ จะมีผลเสียอย่างยิ่งหากไม่ทำการโต้ตอบกับลูกค้าเลยสักนิด หรือแค่เพียงตอบกลับคอมเมนต์แบบขอไปทีนั้น ก็ยังไม่พอ ลองออกไปมีส่วนร่วมกับยูเซอร์คนอื่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีความสนใจร่วมกันกับธุรกิจของคุณ ค้นหาแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ ลองแสดงความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับโพสต์นั้นๆ และควรแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นธรรมชาติและปรับให้เหมาะกับโพสต์ด้วย อาจมีการถามคำถามหรือมีปฏิสัมพันธ์กับแคปชั่น และหลีกเลี่ยงการแสดงความคิดเห็นแบบ Generic ทั่วไป เช่น สวย ชอบ ดี หรือสามารถฝากร้านค้าของเราใต้โพสต์ก็ย่อมได้ ข้อดีของการฝากร้าน คือสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องลงทุนเงินสักบาท แต่!!! ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง หากคุณฝากร้านใต้โพสต์ที่ขายสินค้าประเภทเดียวกันกับแบรนด์ของคุณ จะเป็นการแย่งลูกค้ากันซึ่งหน้า ซึ่งหมายความว่า คุณกำลังไม่ให้เกียรติเจ้าของร้านค้า และยังสร้างทัศนคติเชิงลบ อาจก่อความรำคาญให้แก่เจ้าของโพสต์ เจ้าของแบรนด์อื่นๆ หรือผู้เยี่ยมชมผู้อื่นที่เห็นผ่านๆ ตาอีกด้วย เพราะฉะนั้น หากต้องการฝากร้านใต้โพสต์ ควรตระหนักถึงความพอประมาณ และต้องไม่ก่อความรำคาญให้แก่เจ้าของโพสต์และผู้อื่น

 

2.ใช้ Hashtag แบบผิดๆ

Hashtag เป็นสิ่งสำคัญในการทำการตลาดบน Instagram การเข้าไปเยี่ยมชม Hashtag จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงของกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะกลุ่มมากขึ้น และยังสามารถค้นหาลูกค้าเป้าหมายที่กำลังสนใจใน Content ผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ การติด Hashtag ในโพสต์ต่างก็เช่นกัน เพราะจะช่วยแบ่งแยกประเภทของธุรกิจ  เพิ่มโอกาสทางการตลาด กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น และยังสามารถเพิ่มผู้ติดตาม ยอดไลค์ และยังเพิ่ม Engagement ให้กับแอเคาท์และโพสต์ของคุณได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม Hashtag นั้นจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อได้ใช้มันอย่างถูกต้อง หากใช้อย่างสิ้นเปลือง ก็จะเกิดผลกระทบในทางลบต่อแอเค้าท์ของคุณได้เช่นกัน

เพราะ… การใช้ Hashtag อย่างสิ้นเปลืองและพร่ำเพรื่อ จะลด Value ให้กับโพสต์ของคุณทันที

จงใช้แฮชแท็กเท่าที่จำเป็น โดยใช้คำที่เกี่ยวข้องของเนื้อหาเป็นเกณฑ์ หรือสร้างแฮชแท็กโดยใช้ตราสินค้า จะช่วยสร้างการจดจำในระยะยาว และเพื่อการเข้าถึงผู้เยี่ยมชมรายใหม่ เพราะฉะนั้นคุณจึงต้องติดตามประสิทธิภาพของแฮชแท็กนั้นๆ เพื่อดูว่า Hashtag ไหน ที่ตรงกับธุรกิจของคุณ และตอบสนองกับผู้เข้าชมได้มากกว่า จะนำไปสู่การเพิ่ม Engagement จากนั้น ก็ต้องเก็บข้อมูลของแฮชแท็กเหล่านี้ เพื่อช่วยให้เราเข้าใจกลยุทธ์การใช้แฮชแท็กมากขึ้น แฮชแท็กแบบไหนเหมาะที่จะนำไปใช้โพสต์ในอนาคต

3. ขายตรงมากเกินไป

หงุดหงิดหรือไม่ ที่หันไปทางไหนก็มีแต่โฆษณาเต็มไปหมด? เบื่อหรือไม่ที่ดูคลิปแต่ละทีก็ต้องมี Ad ที่ไม่สามารถกดข้ามได้แทรกเข้ามาเสมอ?

เพราะลูกค้านั้นเบื่อหน่ายกับการที่ถูกยัดเยียดการโปรโมตสินค้ามามากแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงต้องขายของอย่างแนบเนียนด้วยคอนเทนต์ที่โดดเด่น และไม่ขายตรงมากจนเกินไป

หากคุณนั้นโฟกัสแต่การขายของบ่อยครั้ง ไม่ได้เพียงแต่ทำให้ลูกค้าของคุณนั้นหดหาย แต่ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางลบอีกด้วย ถึงแม้ว่าแบรนด์คุณอาจมี Story Telling ที่ยอดเยี่ยมมากแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์หากโพสต์ต่างๆนั้น Hard sale จนสร้างความเบื่อหน่ายและรำคาญให้กับกลุ่มลูกค้า

หากต้องการขายของหรือประชาสัมพันธ์ อาจจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์กันซักนิด ในการสร้างโพสต์ที่ดูน่าสนใจและดึงดูด ทำให้เกิดแรงกระตุ้นทางอารมณ์และความรู้สึกให้ผู้คนเข้ามามีส่วนร่วมกับโพสต์ได้อย่างง่ายดาย และไม่น่าเบื่อในสายตาผู้เยี่ยมชมอีกต่อไป อีกทั้งยังช่วยสร้าง Engagement ให้กับโพสต์ ได้ Like comment Share และได้ขายของอย่างสร้างสรรค์ในเวลาเดียวกัน

4. ซื้อ Follower ซื้อ Like

เป็นการยากที่จะต้องอาศัยการเข้าถึงโดยปราศจากการจ่ายเงิน การซื้อ Like และ Follower และ Comment อาจทำให้คุณห่างไกลและหลงลืมกลุ่มเป้าหมายจริงๆของคุณ  วิธีเดียวที่จะเพิ่มยอดผู้ติดตาม ยอดไลค์ ยอดแชร์ และยอด Comment คือ Content ต้องมีคุณภาพ

5. การวางกลยุทธ์แบบผิดๆ

การสร้างกลยุทธ์การตลาดบน Instagram นั้นไร้ประโยชน์ หากเป็นการใช้กลยุทธ์แบบผิดๆ และอาจจะจบลงด้วยการไม่ได้ผลอะไรกลับมาเลย  มีเพียงวิธีเดียวที่จะช่วยค้นหาทางออกเกี่ยวกับการวางกลยุทธ์ใน Instagram ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์การเพิ่มยอดการเข้าชม กลยุทธ์การสร้างการรับรู้ หรืออื่นๆ สิ่งที่จะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์ให้ตรงจุด คือคุณต้องรู้จักมาตรวัดต่างๆใน Instagram และยังต้องคิดวิเคราะห์มาตรวัดเหล่านี้ให้เป็น โดยไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับจำนวนผู้ติดตาม หรือยอดไลค์ มาตรวัดบนโซเชียลมีเดีย จะช่วยให้คุณปรับแต่งหรือปรับปรุงกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

Source : https://contentmarketinginstitute.com/2019/06/instagram-brand-mistakes/

 

7 มาตรวัดสำคัญ ที่นักการตลาดไม่ควรมองข้าม!

 

โซเชียลมีเดียที่เราเลือกใช้ทำการตลาดนั้นสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และทำให้เราสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลต่างๆได้อย่างง่ายดาย ประกอบกับแพลตฟอร์มต่างๆนั้นมีความหลากหลายมากขึ้น การใช้มาตรวัดเก่าๆเดิมๆ อาจไม่ทำให้รู้ถึงผลลัพธ์ที่แท้จริง การทำดิจิตอลการตลาดยุคใหม่ จึงไม่ควรดูเพียงแค่ยอด Engagement หรือ Reach การศึกษามาตรวัดอื่นๆอาจจะทำให้คุณนั้นวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

1. Social reach

การวัดจำนวนผู้ใช้ที่เข้าถึงข้อมูลของคุณแบบไม่ซ้ำกัน หมายความว่า 1 คน อาจจะเห็นโพสต์นี้กี่ครั้งก็ได้ แต่ Reach จะนับเป็น 1 ซึ่งจะแตกต่างจากค่า Impression ที่จะแสดงให้เห็นว่าโพสต์ที่มีคนเข้าถึงไปแล้วกี่ครั้งแบบซ้ำกัน

สรุปคือ

Impression คือ คนเห็นโพสต์นี้ไปแล้วกี่ครั้ง
Reach คือ คนเห็นโพสต์นี้ไปแล้วกี่คน

สองค่านี้สำคัญอย่างไรต่อแบรนด์?

 

 

ค่า Reach เป็นค่าที่บ่งบอกว่าเนื้อหาข้อความที่โพสต์นั้นมีประสิทธิภาพมากเพียงใด และสามารถวัดการเข้าถึงแคมเปญโฆษณาที่คุณได้เผยแพร่ออกไป และยังบ่งชี้ได้ว่าโฆษณามีประสิทธิภาพมากเพียงใด ประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด โดยค่าตัวเลขนี้จะส่งผลต่อค่าอื่นๆ เช่น ค่า Engagement จำนวนการคลิกลิงค์ และอื่นๆ

 

2. Bounce rate

Bounce rate เป็นเครื่องมือที่เอาไว้วัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ ว่าสวยงามพอหรือไม่ น่าสนใจพอหรือเปล่า น่าดึงดูดให้เข้าชมมากน้อยแค่ไหน โดยจะวัดเป็นอัตราส่วน และบอกเป็นเปอร์เซ็นต์ของคนที่เข้าเว็ปไซต์เพียงหน้าเดียวและก็ปิดไปโดยไม่เข้าไปหน้าอื่นๆของเว็บไซต์เลย ยิ่งมีอัตราสูงมากเท่าไหร่ ยิ่งบ่งชี้ได้ว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นไม่ดึงดูดให้ผู้เข้าชมนั้นเลือกเสพในส่วนอื่นๆของเว็บไซต์  เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้เข้าชม อาจจะต้องพัฒนาเว็บไซต์ให้มีความสวยงามและน่าดึงดูดมากขึ้น เพื่อลดอัตราของ Bounce rate และถ้าทำ SEO ก็ส่งผลให้เว็บไซต์ได้อันดับดีๆอีกด้วย

 

3. Follower growth rate

อัตราการเติบโตของผู้ติดตามเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่แสดงว่าเนื้อหาของคุณเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนหรือไม่ ช่วยให้คุณพิจารณาว่าที่โพสต์เป็นประจำนั้นเพียงพอที่จะเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมของคุณได้รึเปล่า และโพสต์ของคุณสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณหรือไม่

สามารถวัดและติดตามอัตราการเติบโตของผู้ติดตามได้อย่างไร ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะแสดงจำนวนผู้ติดตามของคุณและการเติบโต เพิ่มขึ้น หรือลดลง เกณฑ์มาตรฐานผู้เข้าชม และตั้งค่าช่วงเวลาที่ต้องการเพื่อวัดค่า ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการดู Feedback ของแต่ละโพสต์คุณอาจจะดูความแตกต่างของผู้เข้าชมเพียงระยะสั้นๆ แต่หากคุณต้องการทำความเข้าใจ Feedback ของแคมเปญ คุณจะต้องดูความแตกต่างในระยะยาว หากอัตราการเติบโตของคุณไม่ดีพอ ให้ลองเปลี่ยนแปลงความของถี่โพสต์ หัวข้อเนื้อหา รูปแบบ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น โพสต์เนื้อหาภาพข้อความสลับกับวิดีโอ เป็นต้น

 

4. Engagement

 

 

Engagement ที่แปลว่า การมีส่วนร่วมของกลุ่มลูกค้า แล้วค่า Engagement นั้นสำคัญไฉน?

เพราะมันแสดงให้เห็นว่า มีคนจำนวนเท่าใดที่โต้ตอบกับเนื้อหาของคุณ คุณอาจพบว่าผู้ชมของคุณมีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ในรูปแบบวีดิโอ มากกว่า infographic หรือสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ว่าคอนเทนต์แบบไหนมีแนวโน้มที่จะได้รับค่า Engagement มากในอนาคต ค่า Engagement จะบ่งชี้ว่าแบรนด์ของคุณเชื่อมโยงกับลูกค้าของคุณมากน้อยเพียงใด โดยได้มาจากยอด “ไลค์ คอมเม้นต์ แชร์ เซฟ” หรือการมึปฏิสัมพันธ์กับคอมเทนต์นั้นๆนั่นเอง

มีมากมายหลายวิธีมากมายที่ยังสามารถช่วยเพิ่ม Engagement ให้กับแบรนด์ของคุณได้ วิธียอดฮิตที่เหล่า Digital Marketing ทำกันเป็นประจำ ก็ไม่พ้นการซื้อ Ad บูสท์โพสต์ แต่ก็มักจะได้ค่า Engagement ที่ไม่มีคุณภาพ วิธีเพิ่มค่า Engagement ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียเงินซักบาท คือ…

  • Content ต้องมีความน่าสนใจ ดึงดูด
  • โพสต์ในเวลาที่เหมาะสม
  • ตรงกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ได้ตั้งไว้

 

 

5. Sentiment

 

 

อารมณ์และความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายสำคัญ เพราะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเรามีภาพลักษณ์แบบไหนในสายตาของลูกค้า  โดยผ่านกระบวนการคัดกรองข้อความบน Social Media ผ่านโครงสร้าง Algorithm ได้ Output ออกมาและแบ่งแยกได้ดังต่อไปนี้

  • Positive การแสดงความคิดเห็นในเชิงบวก
  • Nuetral การแสดงความคิดเห็นแบบเป็นกลาง
  • Negative การแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ

หากเราเห็นค่าของของอารมณ์ความรู้สึกของกลุ่มเป้าหมายไปในทิศทางที่เป็นลบมากเกินไป แบรนด์จะต้องหาทางแก้ไขโดยการฟังเสียงผู้บริโภคบนโลกออนไลน์ คอยดูความเคลื่อนไหวต่างๆของผู้บริโภค เสียงของผู้บริโภคที่อยู่บนโลก Social ผ่านการ Monitor และยังสามารถช่วยเฝ้าระวังและป้องกันการเกิด Crisis ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

เช่น ลูกค้าไม่พอใจในการบริการของแบรนด์ และโพสต์ข้อความลงทวิตเตอร์เพื่อแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ หากแบรนด์ไม่แก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ก็อาจเกิดการแชร์ต่อ และอาจจะส่งผลถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์อีกด้วย

 

6. Social media audience demographics

บุคคลที่สำคัญต่อแบรนด์ คือ ลูกค้า  และสถิติสำคัญ ก็คือการรวบรวมข้อมูลต่างๆของกลุ่มลูกค้า Demograpic  คือ ข้อมูลประชากร หรือข้อมูลที่จัดทำขึ้นตามประเภทคุณลักษณะของประชากรกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น อายุ เพศ ที่อยู่อาศัย การศึกษา รายได้ ฐานะทางสังคม และอื่นๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพกลุ่มประชากรเป้าหมายของคุณได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวโน้มหรือโอกาสทางการตลาดได้เช่นกัน

สามารถดูข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มประชากรเป้าหมายที่เข้าเยี่ยมชม Facebook Page หรือ Instagram Account ได้ที่ Facebook Audience Insights แล Instagram Insights หรอหากเป็นแพลตฟอร์มอื่น ก็สามารถเข้าถึงการดูข้อมูลเชิงลึกได้เช่นกัน

 

7. Fan base

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ลูกค้าเป็นบุคคลสำคัญต่อแบรนด์ ยิ่งเป็นลูกค้าที่คอยเกื้อหนุนแบรนด์ ช่วยโปรโมทแบรนด์ของคุณ เป็นแฟนคลับแบรนด์ของคุณ หรือที่เรียกอีกนัยหนึ่งว่า Brand Royalty กลุ่มลูกค้าผู้ที่ภักดีต่อแบรนด์  นอกจากจะรู้จำนวนและข้อมูลของกลุ่มลูกค้าคร่าวๆแล้ว ก็ควรที่จะต้องคำนวณแฟนคลับที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ของคุณด้วย โดยสามารถวัดได้จากการที่พวกเขาติดแท็กเป็นประจำ พูดถึงแบรนด์เป็นประจำ แชร์และรีวิวด้วยทัศนคติในเชิงบวกอยู่เสมอ มีแนวโน้มที่จะดูวิดีโอของคุณและช่วยกดแชร์อยู่เสมอ หรือติดตามข้อมูลต่างๆอย่างใกล้ชิด กดไลค์ กดแชร์ และช่วยสร้าง Engagement ที่มีคุณภาพให้กับเพจของคุณ

ทำไมถึงต้องรู้อัตราการเจริญเติบโตของกลุ่มลูกค้าในระดับ Loyal Customer

เนื่องจากเป็นบุคคลสำคัญที่คอยซัพพอร์ทแบรนด์อยู่เสมอ จึงควรที่จะต้องรู้อัตราการเติบโตหรือถดถอยของกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้อยู่เรื่อยๆ หากมีอัตราการถดถอยของกลุ่มลูกค้าที่จงรักภักดี ก็ควรเฟ้นหาวิธีรักษาฐานลูกค้าที่อยู่ในระดับ Loyal Customer  ดูแลและสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับลูกค้ากลุ่มเก่าที่ทีที่สำคัญกว่าการสร้างฐานลูกค้าใหม่ เช่น การคิดค้นโปรโมชั่นสำหรับ Member Card   การให้ Service ที่เหนือกว่า เป็นต้น

 

 

Source :  https://contentmarketinginstitute.com/2019/07/social-media-metrics-brand/

 

 

 

ทำไมแบรนด์ต้องสร้างความสัมพันธ์กับ Influencer ?

 

 

ผู้บริโภคลังเลที่จะเชื่อ Message ที่แบรนด์จะสื่อบนโลกออนไลน์ มากกว่า 25% ของนักท่องอินเทอร์เน็ต มักจะบล็อกโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่างๆ แต่กลับให้ความสนใจกับ Influencer บุคคลที่มีสไตล์ส่วนตัวที่แตกต่างกันออกไป และความสามารถในการดึงดูดผู้ชมได้มากกว่า สิ่งที่พวกเขาใส่ ที่ที่พวกเขาไปเที่ยว และ สิ่งที่พวกเขาฟัง ทั้งหมดนี้อาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้เหล่า Followers ได้ ดังนั้น แบรนด์จึงต้องมองหาโอกาสในการเชื่อมความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยการแทรกผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ลงไปใน Content ต่างๆ ของ Influencer

นักการตลาดมักมองว่าโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางสำหรับโฆษณาที่มีต้นทุนต่ำ จากมุมมองนี้ Influencer เป็นเพียงแค่กลยุทธ์แรกในการผลักดันยอดขาย ด้วยการสร้างการรับรู้และการมองเห็นผ่านนำเสนอผลิตภัณฑ์บนสื่อออนไลน์ บนพื้นฐานแล้วนั้น แบรนด์เลือก Influencer จากจำนวนของผู้เข้าชม (View) และเจรจาแต่ละสัญญาตามเกณฑ์ของในแต่ละแคมเปญ จากนั้น แบรนด์จะติดตาม และประเมินประสิทธิภาพของ Influencer รายนั้น ๆ หาก Influencer ไม่ตรงตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นในแคมเปญถัดไป

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Influencer หลายคนได้ผันตัวเป็น Influencer มืออาชีพ และปรารถนาที่จะร่วมมือกับแบรนด์ในฐานะพาร์ทเนอร์มากขึ้น งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกรวมกันทั้งหมด 27 ครั้งกับ Influencer และกรณีศึกษาเพิ่มเติม ในอุตสาหกรรมแฟชั่นและเครื่องสำอาง เผยให้เห็นว่า influencer นั้น ไม่พอใจและรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและนักการตลาด

    

 

‘มาเรียน’ บล็อกเกอร์แนวไลฟ์สไตล์ที่มีผู้ติดตามมากถึง 129,000 คนในอินสตาแกรมกล่าวว่า “เมื่อแบรนด์ได้ติดต่อฉันมา อย่างแรกที่ฉันจะดู คือหัวอีเมล ถ้าพวกเขาพิมพ์มาว่า “Hello” หรือ “Dear, Blogger” ฉันไม่แม้แต่จะอ่านมันเลย แถมลบมันทิ้งด้วยซ้ำ ชื่อของฉันคือมาเรียน และถ้าคุณติดตามบล็อก คุณก็ต้องรู้จักชื่อฉันสิ ฉันต้องดูว่าคุณรู้จักและมีข้อมูลเกี่ยวกับฉันมากน้อยแค่ไหน”

L ‘Oréal  Paris ก็ใช้วิธีเดียวกันโดยการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับ Influencer ในฐานะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและ Ambassador ที่เข้าร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และ เผยแพร่ด้วย Content “How to” เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับแพลตฟอร์มทั้งหมดของ L ‘Oréal  การร่วมมือได้ก่อให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์และ Influencer

และแน่นอน วิธีการใช้ Influencer มาพร้อมกับเงินมากมายที่เราต้องจ่าย และเพื่อความคุ้มค่าที่สุด แบรนด์จึงต้องเรียนรู้นิสัยใจคอของ Influencer ให้ถ่องแท้ พึงพิจารณาอยู่เสมอว่าใครกันที่มีภาพลักษณ์นิสัยใจคอ ไลฟ์สไตล์ตรงตามคอนเสปที่ต้องการมากที่สุด เลือกเหล่า Influencer ดั่งเราเลือก Ambassdors ปฏิบัติและให้ความสำคัญเปรียบเสมือนเพื่อนที่คุณสนิท แสดงความจริงใจกับเหล่า Influencer อยู่เสมอ เพราะพวกเขาคืออีกหนึ่งตัวแทนในการสื่อสาร และเป็นบุคคลที่จะช่วยสนับสนุนแบรนด์ได้จากความต้องการของตัวเอง หากแบรนด์นั้นทำให้ Influencer ประทับใจ พวกเขาก็พร้อมเต็มใจเป็นกระบอกเสียง สื่อสารและนำเสนอแบรนด์ให้กับแฟน ๆ หรือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

ทั้งนี้ทั้งนั้นการติดตามการวัดผลวัดประสิทธิภาพเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพของ Influencer ในแต่ละแคมเปญนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แบรนด์อาจจะต้องใช้เครื่องมือในการติดตามความเคลื่อนไหวของ Influencer และติดตาม Social Voice ต่างๆ เกี่ยวกับบิวตี้บล็อกเกอร์ ยูทูปเบอร์ และบล็อกเกอร์อื่นๆ ผ่านทางโซเชียลมีเดียหลาย ๆ แพลตฟอร์ม  ‘SocialEnable 4.0’ เครื่องมือที่สามารถบริหารจัดการทั้ง Owned Media ของตัวเอง และ Social Listening Tools (หรือที่เรียกกันว่า Earned Media)  เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์สำหรับแบรนด์ที่กำลังมองหา Influencer ที่เข้ามาช่วยโปรโมทผลิตภัณฑ์ สามารถใช้ฟังเสียงผู้บริโภคบนโลกโซเชียลว่า “คิดอย่างไร” และวัดได้ว่า “Influencer คนไหนกำลังถูกพูดถึงมากที่สุดในตอนนี้” อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์และวัดผล Influencer ที่ได้ร่วมมือกับทางแบรนด์ในแคมเปญต่าง ๆได้ ว่า แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ถือว่าครบวงจรในเครื่องมือเดียว

 

source : https://hbr.org/2019/04/how-brands-can-build-successful-relationships-with-influencers

 

 

ความสำคัญของ Big Data กับ Social Media Marketing

ในอดีตที่ผ่านมาการทำการตลาดแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่มักประสบปัญหาข้อมูลการชี้วัดที่ไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณการลงทุนไปจนถึงผลตอบแทนที่ได้รับ รวมถึงเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคที่เราไม่สามารถรู้ได้อย่างชัดเจน แต่ปัจจุบัน Social Media Marketing ทำให้การตลาดแบบเดิมเปลี่ยนแปลงไป

Continue reading “ความสำคัญของ Big Data กับ Social Media Marketing”

Contact us

What SocialEnable do ?

Watch our 1 minute for SocialEnable