Tag: SocialEnable

Gartner เผย 12 เทรนด์ด้านเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในปี 2022

Gartner เผย 12 เทรนด์ด้านเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในปี 2022 และคาดว่าเทรนด์เหล่านี้มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างรวดเร็วขึ้นในอีก 3-5 ปีข้างหน้าอีกด้วย มาดูกันค่ะว่าเทคโนโลยีเหล่านี้คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ เพื่อเตรียมปรับตัวธุรกิจของคุณให้เท่าทัน

1. Data Fabric – ผู้ใช้ต้องการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าข้อมูลนั้นจะถูกจัดเก็บอยู่ที่ใด และต้องการที่จะรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นให้อยู่ในพื้นที่เดียวกันมากขึ้น เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ลดกระบวนการด้านการบริหารจัดการข้อมูล

2. Cybersecurity Mesh – ภัยคุกคามทางไซเบอร์พยายามหาช่องทางเข้าโจมตีตลอดเวลา Cybersecurity Mesh คือเทคโนโลยีที่ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้ปลอดภัย โดยกำหนดพื้นที่การเข้าถึงและการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน

3. Privacy-Enhancing Computation – ความเข้มข้นของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ Privacy-Enhancing Computation จะเข้ามามีบทบาทในการประมวลผล การจัดเก็บ การส่งต่อ หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลมาใช้ประโยชน์ด้านการตลาด ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฏหมาย ความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล

4. Cloud-Native Platforms – ด้วยคุณสมบัติที่ยืดหยุ่นของ Cloud-Native Platforms สามารถเพิ่ม-ลดสเกลหรือสเปคของแอปได้ เชื่อมต่อ Service ที่หลากหลายของแบรนด์ ตอบโจทย์เรื่องการใช้งานแบบอัตโนมัติ ซึ่งพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย

5. Composable Applications – หยิบยกข้อมูลและโครงสร้างทางดิจิทัลที่มีอยู่ นำมาพัฒนาและใช้ประโยชน์ เพื่อให้เกิดบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วทันต่อความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และยังเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรอีกด้วย

6. Decision Intelligence – นำเทคโนโลยีด้าน AI มาช่วยงานทีมวิเคราะห์ข้อมูลหรือการวางแผนกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อการตัดสินใจให้องค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำขึ้น

7. Hyperautomation – ระบบอัตโนมัติยังเป็นสิ่งดึงดูดใจให้องค์กรนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น เพราะสามารถลดระยะเวลา แต่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีกว่าเดิม

8. AI Engineering – โมเดล AI หรือปัญญาประดิษฐ์ยังคงถูกพัฒนาและพูดถึงอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์โรคระบาดลดการสัมผัสระหว่างบุคคล ทำให้องค์กรพยายามเรียนรู้ข้อจำกัด และหาทางนำ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในระบบการทำงานแทนมนุษย์มากขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคต

9. Distributed Enterprises – เทรนด์การทำงานแบบรีโมทที่พนักงานสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวตั้ง สะท้อนให้เห็นการใช้ดิจิทัลแบบทางไกลมากขึ้น ในการเพิ่มประสบการณ์ สร้างปฏิสัมพันธ์แก่พนักงาน ผู้บริโภค และพาร์ทเนอร์ได้

10. Total Experience – มุ่งเน้นเรื่องการเพิ่มประสบการณ์ในทุกด้านมากขึ้น จากเดิมที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก แต่อนาคตจะหันมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของพนักงาน ผู้ใช้งาน หรือผู้รับบริการในทุกๆ ช่องทาง เพื่อให้เกิดความมั่นใจและจงรักภักดีต่อธุรกิจ

11. Autonomic Systems – ระบบทางกายภาพที่เรียนรู้และปรับอัลกอริธึมตัวเองได้แบบเรียลไทม์ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว รวมถึงรองรับการโจมตีใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์ในการควบคุม

12. Generative AI – Generative AI เป็นการใช้ AI รูปแบบหนึ่ง โดยใช้การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ แต่ยังมีความคล้ายกับของต้นฉบับอยู่ เป็นการเรียนรู้จากข้อมูลเดิม เพื่อสร้างเนื้อหารูปแบบใหม่ๆ เช่น รูปภาพ วิดีโอ รวมถึงเป็นประโยชน์กับการพัฒนางานวิจัยในวงการต่างๆ

ขอบคุณข้อมูล : gartner.com / uit.co.th

“ความคิดเห็นเชิงลบ” มีประโยชน์มากกว่าที่คิด

1. ความคิดเห็นเชิงลบสามารถสร้างความไว้วางใจของลูกค้าได้

เมื่อคุณไล่ดูคอมเมนต์ผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ไม่มีแม้แต่การ Complain หรือความคิดเห็นเชิงลบเลย ก็ต้องมีสงสัยกันบ้าง ว่าสินค้าหรือเซอร์วิสอะไรที่ทำให้ลูกค้าพอใจมากขนาดนั้น จากการวิจัยของ Revoo ลูกค้า 95% สงสัยว่าการรีวิวในเชิงลบถูกเซ็นเซอร์ออกไป หรือถูกลบออกไป หรืออาจจะถูกสงสัยว่าผลิตภัณฑ์นี้เป็นของปลอม หากไม่เห็นรีวิวหรือความคิดเห็นในเชิงลบ และ 65% เชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และบริการมากขึ้นเมื่อมีการรีวิวทั้งเชิงลบและเชิงบวกปนกันไป กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีแบรนด์ไหนสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง

2. ความคิดเห็นเชิงลบช่วยให้ลูกค้าคนอื่นรู้สึกว่า “ได้รับข้อมูลใหม่”

ลูกค้าคนอื่นๆ จะเข้ามาอ่านบทวิจารณ์และอ่านคอมเมนต์เพื่อทำการตัดสินใจซื้อ เชื่อว่าหลายคนจะมองหารีวิวที่มีทั้ง Sponsored และ Non sponsored เพื่อที่จะได้นำมาพิจารณาว่าควรจะซื้อสินค้าบริการหรือไม่ เชื่อว่าหลายคนไม่ได้พิจารณาจากเพียงบทความเดียว อย่างน้อยต้องมากกว่าหนึ่งบทความเพื่อชั่งน้ำหนักว่า ขอดีของสินค้าและบริการนั้นมีมากกว่าข้อเสียยังไง ยกตัวอย่างจาก Amazon เว็บ Ecommerce ชื่อดัง ได้ทำการตั้งค่าบทวิจารณ์ที่ลูกค้าสามารถดูสรุป พร้อมคะแนนโดยรวม และรายละเอียดตามระดับความชื่นชอบ โดยจะแสดง “บทวิจารณ์เชิงบวกที่เป็นประโยชน์มากที่สุด” และ “บทวิจารณ์เชิงลบที่มีประโยชน์สูงสุด” ตามที่ผู้ใช้ของ Amazon ได้ทำการโหวต

3. ความคิดเห็นเชิงลบเพิ่มโอกาสให้คุณได้ keep relationship กับลูกค้า


เป็นการดีที่แบรนด์จะสามารถรักษาความสัมพันธ์ของลูกค้าเอาไว้จากการที่ลูกค้าเข้ามารีวิวไม่ว่าจะเชิงลบหรือเชิงบวก นั่นหมายความว่าแบรนด์ยังมีโอกาสได้แก้ตัวใหม่กับข้อผิดพลาด ดีกว่าปล่อยให้ลูกค้าหายไปอย่างเงียบๆ หลังจากผิดหวังและไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น นั่นอาจจะทำให้แบรนด์นั้น อาจสูญเสียลูกค้าไปแล้วก็เป็นได้


Jay Baer เจ้าของเว็บไซต์การตลาด กล่าวว่า ที่ธุรกิจต่างๆเลือกที่จะไม่ตอบรีวิวเชิงลบ นั้นเป็นเพราะไม่ต้องการแสดงความคิดเห็นด้วยการตอบการรีวิว แบรนด์กลัวว่าหากโพสต์ตอบกลับคำร้องเรียนอาจจะเป็นการสุมไฟให้บานปลายขึ้น ซึ่งมันไม่เป็นความจริง การตอบคำวิจารณ์ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ลูกค้า กลับกัน การเพิกเฉยต่อข้อร้องเรียน จะลดความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้าทั้งลูกค้าเก่าและใหม่


4. ความคิดเห็นเชิงลบช่วยเปิดเผยจุดบอด


เราจะไม่รู้เลยว่าข้อเสียของเราคืออะไร จนกระทั่งเริ่มเห็นลูกค้ารีวิวสินค้าและบริการในเชิงลบ ทำให้เผยให้เห็นจุดบอดเยอะแยะมากมายที่แบรนด์ไม่เคยรู้มาก่อน
เพราะฉะนั้น การ Complain จากลูกค้าอาจเป็นสิ่งกระตุ้นให้แบรนด์ของคุณนั้นพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้


Wrap up

การแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ กลายเป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งบนโลกออนไลน์ของลูกค้า ที่แบรนด์ควรจะรับมือให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น การชี้แจงปัญหา การวิพากษ์วิจารย์ การโจมตีแบรนด์ ซึ่งนั่นอาจจะสิ่งที่แบรนด์ไม่อยากพบเจอหรือให้เกิดขึ้นเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราไม่อาจเลี่ยงและจำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้อย่างกล้าหาญ โดยจากข้อที่ 1 – 4 ที่กล่าวมานั้นอาจจะช่วยให้ท่านได้ปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความคิดเห็นในเชิงลบจากลูกค้าเสียใหม่เพื่อที่จะได้รับมือกับความคิดเห็นในเชิงลบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Source : https://www.lifelearn.com/2019/09/10/the-benefits-of-negative-reviews-2/
https://www.socialmediatoday.com/news/how-to-deal-with-fake-negative-reviews-infographic/529688/


การปรับตัวของ Instagram และ youtube เมื่อ Tiktok กำลังเป็นที่นิยม

ปีที่แล้ว ทางบริษัท Facebook ได้ปล่อยแอปพลิเคชั่นตัดต่อวิดีโอสั้นที่ชื่อว่า Lasso แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากเท่าที่ควร Facebook จึงเล็งเห็นว่า Instagram สามารถเข้าถึงฐานของ Creator ที่มีอยู่ และจากความคุ้นเคยของ User ด้วยเครื่องมือตัดต่อวิดีโออย่าง Super zoom และ Boomerang อินสตาแกรม คิดค้นและปล่อยลูกเล่นใหม่ที่ชื่อว่า Reels ฟีเจอร์ตัดต่อวิดีโอสั้นคล้าย Tiktok บน Instagram ได้เปิดให้ลองใช้งานฟีเจอร์นี้ในประเทศบราซิลเป็นประเทศแรก User ส่วนใหญ่ ต้องการให้ instagram มีการรวม Collection ของ Reels เป็นหลักเป็นแหล่ง ทั้งของ User และของคนอื่นๆ หลังจากที่ Reels ได้เริ่มเปิดให้ลองใช้ในประเทศอื่นๆ เช่น เยอรมัน และฝรั่งเศษ Instrgram ได้ปรับเปลี่ยนให้ User สามารถเข้าดู Reels ของผู้อื่นได้ที่หน้า Explorer และสามารถย้อนดู Reels ของตัวเองได้ที่ Profile ความแตกต่างของ reels คือ ให้ผู้ใช้ Instagram สร้างคลิปวิดีโอสั้นๆ ที่สามารถปรับความเร็วหรือเพิ่มแคปชั่นได้ และสามารถแชร์ลงฟีดหรือสตอรี่ได้ทันที วิดีโอเหล่านั้นจะยังคงความเป็นส่วนตัว ไม่สามารถดาวน์โหลด และแชร์ต่อได้อย่าง Tiktok ที่สามารถใช้เพลง เสียง ฟิลเตอร์ที่คล้ายกันเพื่อสร้างคลิปวิดีโอ ทั้งนี้ เครื่องมือการตัดต่อ ฟีเจอร์ Reels ของ Instagram อาจจะยังไม่หลากหลายเท่า Tiktok

ในส่วนของ youtube ก็ได้พัฒนาฟีเจอร์ และเริ่มต้นทดสอบบนมือถือที่จะให้ผู้ใช้บันทึกวิดีโอที่มีความยาว 15 วินาที เท่ากับค่าเริ่มต้นการบันทึกวิดีโอของ Tiktok
จะเห็นตัวเลือก “Create Video” มีวิธีใช้คล้ายกับ Tiktok โดยกดบันทึกค้างไว้เพื่อบันทึกคลิป และสามารถแตะอีกครั้งหรือปล่อยปุ่มเพื่อหยุดการบันทึก และทำแบบเดิมซ้ำจนกว่าคลิปวิดีโอจะครบ 15 วินาที ภายหลัง Youtube จะเพิ่มการควบคุมและคุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น เอฟเฟ็กต์เพลง AR ฟิลเตอร์ต่างๆ หรือปุ่มเพื่อเปลี่ยนความเร็ววิดีโอ เป็นต้น
เชื่อว่าในยุคที่ผู้คนกำลังอินกับเทรนด์การตัดต่อวิดีโอสั้นๆกระชับแบบนี้ ที่กำลังฮิตติดกระแสในช่วงกักตัวโควิด 19 ก็ดี หรือ ช่วง New Normal ต่อจากนี้ก็ดี Platform ยอดฮิตอย่าง Youtube และ Instagram จะยังคงพัฒนาฟังค์ชั่นตัดต่อวิดีโอสั้น เพื่อให้ได้มีฟีเจอร์ที่สมบูรณ์แบบสูสี Tiktok ได้อย่างแน่นอน

source : https://techcrunch.com/2020/06/25/youtubes-latest-experiment-is-a-tiktok-rival-focused-on-15-second-videos/

Terms of service

Privacy Policy

DESCRIPTION OF SERVICE

SocialEnable currently provides users with the trend on Social Media a.k.a Facebook. You understand and agree that the Service is provided “AS-IS” and that SocialEnable assumes no responsibility for the collecting, storing, deleting, combining and disclosing information.

In order to use the Service, you must obtain access to the World Wide Web, either directly or through devices that access web-based content. In addition, you must provide all equipment necessary to make such connection to the World Wide Web, including a computer and modem or other access device.

  • – SocialEnable are not affiliated and have nothing related with Facebook Inc.
  • – SocialEnable reserves the full authority to select Pages and Categories and has the right to delete inappropriate Pages showing consequence without cause or notice to Facebook Page owner.
  • – SocialEnable does not guarantee collecting and sorting into the correct category for every post of pages.
  • – Every displayed post from each Facebook page does not belong to the SocialEnable’s ownership. SocialEnable takes no reasonability and assumes no liability for any post that each Facebook page posts.
  • – SocialEnable may contain links to third-party websites, advertisers, services, special offers, or other event or activities that are not owned or controlled by SocialEnable. We do not endorse or assume any responsibility for any such third-party sites, information, material, products or services. If you access any third party website, service or content from SocialEnable, you do so at your own risk and you agree that SocialEnable will have no liability arising from your use of or access to any third-party website, service, or content.

COMMERCIAL USE

Unless otherwise expressly authorized by SocialEnable, you agree not to display, distribute, license, perform, publish, reproduce, duplicate, copy, create derivative works from, modify, sell, resell, exploit, transfer or upload for any commercial purposes, any portion of the Services, use of the Services or access to the Services. Unless otherwise expressly agreed by SocialEnable, the Services are for your personal use.

In the performance of SocialEnable function under this Terms of Service, SocialEnable will require to collect, store, use and the Personal Identifiable Information of the relevant User. For your information about SocialEnable Privacy Policy, please read our Privacy Policy at https://socialenable.com/privacy-policy This policy explains how SocialEnable treat your personal identifiable information and protects your privacy when you use SocialEnable.

 

socialenable logo

VR (Virtual Reality) กับสิ่งที่นักการตลาดควรรู้

วันนี้เราจะพามาดูเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Virtual Reality (VR) หรือภาพโลกเสมือนจริง ซึ่งเราน่าจะคุ้นหูกันมาบ้างแล้วในช่วง 3-4 ปี โดย Mark Zuckerberg ที่มีความนิยมสูงที่สุดในโลกอย่าง Facebook พยายามผลักดันการใช้ VR ในหลายรูปแบบ เช่น การรองรับวีดีโอแบบ 360 องศา นอกจากนี้หลายอุตสาหกรรม เริ่มนำไปใช้ต่อยอดทางธุรกิจ ได้รับประโยชน์จากการพัฒนา VR ใช้ในด้านความบันเทิง ด้านการแพทย์ ด้านทหารหรือด้านการศึกษานั้นเอง

ต่างประเทศมีการใช้ VR เข้ากับด้านการศึกษา ทั้งศิลปะหรือด้านการแพทย์ เพื่อฝึกนักเรียนแพทย์ในการรักษาผ่าตัดรักษาอาการปวดของผู้ป่วย หรือด้านสถาปนิก ใช้ VR ออกแบบรถยนต์ที่ปลอดภัย รวมถึงสร้างอาคารที่แข็งแรง หรือใช้ในด้านการท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นต้น

ขณะที่ในประเทศไทยกำลังมาแรงในอุตสาหกรรม ‘‘เกมคอมพิวเตอร์’’ นำมาประยุกต์ใช้เข้ากับเกมต่าง ๆ เช่น รถไฟเหาะ เพื่อความตื่นเต้นและหวาดเสียว, เกมแนวสยองขวัญ จะพบความน่ากลัวตลอดตัวเกม เป็นต้น

ดังนั้นนักการตลาดอย่างเรา จะทำอย่างไร ในอนาคตอันใกล้สำหรับเทคโนโลยี VR เพื่อประยุกต์ หรือสามารถเป็นเครื่องมือในการสื่อสารทางการตลาดได้  วันนี้ทาง SocialEnable มี Tips สำหรับนักการตลาด ตามไปอ่านกันเลยครับ

 3 สิ่งที่นักการตลาดควรรู้ก่อนทำ Content VR

ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยี VR กลายเป็นเป้าหมายสำหรับการใช้ประโยชน์ในด้านการตลาด โดยสื่อต่างๆ และนักการตลาด ต่างเห็นว่า เทคโนโลยีนี้จะเป็นช่องทางในการทำ Digital Marketing มีบทบาทในการตลาดมากขึ้นในการสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภค (Consumer Experience) ผ่านการเล่าเรื่องของแบรนด์ได้อย่างสร้างสรรค์ (Brand Storytelling)  เมื่อแบรนด์เริ่มลองใช้ VR ในการทำ Content ต่างๆ ความคาดหวังของผู้บริโภคก็จะยิ่งสูงขึ้น ทำให้ตอนนี้มีหลายๆแบรนด์เริ่มปรับตัวกับเทคโนโลยีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักการตลาดต้องมองเห็น Future Trend Overview และใช้เทคโนโลยีก่อนที่ผู้บริโภคจะคาดหวังให้ธุรกิจนำมันมาใช้ ดังนั้นนักการตลาดควรรับมือกับ VR ได้อย่างไร? เราจึงมี 3 Tips มาฝาก

1.Brand Storytelling is Important. (Think beyond thirty seconds)

เมื่อ VR เข้ามา การทำ Video Content ที่ดีเพียงแค่ 30 วินาที อาจไม่เพียงพอเพื่อให้คนอินกับเรา นอกจากแบรนด์จะต้องเล่าเรื่อง(Brand Storytelling) ให้ออกมาดีแล้ว การเล่าเรื่องต้องสมจริงด้วย ที่สำคัญคือต้องมีปฎิสัมพันธ์โต้ตอบกับผู้ชมได้ ขยายคอนเทนต์เพื่อให้ได้รับประสบการณ์จากคอนเทนต์นั้นให้ลึกขึ้น หรือขยายออกเพื่อได้เห็นเรื่องราวที่แบรนด์อยากจะเล่า (Main Storyline) ดังนั้น VR จึงกลายเป็นสื่อที่ทำให้แบรนด์สามารถสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลาย และเล่าเรื่องหรือให้ประสบการณ์เหนือคำบรรยายให้แก่ผู้ชมได้ เช่น

กรณีของ Mercedes-Benz ในปี 2016 ร่วมกับ Kelly Lund เป็นคนที่ชอบแชร์รูปภาพ หรือวิดิโอในการไปผจญภัยตามสถานที่ต่างๆ พร้อมกับเจ้า Loki ซึ่งเป็นสุนัขของเขา ผ่านทาง Instagram โดยสร้าง Hashtag #MBphotopass ซึ่งใช้ Video 360 องศา ในรูปแบบ Virtual Reality (VR) ที่เป็นวิดีโอเกียวกับการผจญภัยของพวกเขา โดยมีรถ Mecedes รุ่น GLS sport ปี 2017 ซึ่งสามารถดึงดูดใจผู้ชมได้อย่างดี โดยหลังจากลง Video 360 องศา ใน Instagram ของ Mercedes-Benz USA ได้มีคนติดตามเพิ่มขึ้น 57,000 คน และ 40% ของคนเยี่ยมชมเว็บไซต์นั้นเป็นกลุ่มช่วงอายุ 18-34 ปี

2.ทำโลกเสมือนให้เป็นโลกจริง (Everything is amplified)

นอกจากภาพและเสียงที่เราเสพได้จริงแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับ VR คือ ประสาทสัมผัสที่เรารู้สึกกับมันจริงๆ เหมือนกับว่าเราเข้าไปในโลกเสมือนจริงๆ ดังนั้นคอนเทนต์ที่สามารถดึงประสาทสัมผัสของผู้ชมเข้าไปในอีกโลกหนึ่งได้ จะสามารถให้ประสบการณ์และความคาดหวังแก่ผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ผู้ชมจะสามารถจดจำแบรนด์ได้ดีอีกด้วย หากคอนเทต์ที่เน้นโฆษณามากเกินไป เกินกว่าที่ผู้ชมยอมรับได้ จะทำให้ผู้ชมรำคาญกับโฆษณาที่เราสื่อหรืออาจถึงกับมองภาพลักษณ์แบรนด์เราไม่ดีไปเลยก็ได้ ตัวอย่างเช่น

ดังนั้นการทำคอนเทนต์ที่ดี สามารถดึงผู้ชมเข้าไปในโลกเสมือนได้ จึงเป็นเรื่องยาก แต่หากทำได้ดีแบรนด์นั้นจะสามารถครองใจผู้ชมได้เป็นอย่างดีเยี่ยม

3.ศึกษาความเสี่ยงและข้อเสียของ VR

การสร้างประสบการณ์ผ่านอุปกรณ์ VR นี้จะกลายเป็น Product ทางการตลาดที่สำคัญของภาคธุรกิจได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยี VR นี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง รวมถึงเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ธุรกิจเองก็ต้องวิเคราะห์ตัวเองให้ลึกซึ้งถึงผลที่ตามมาก่อน รวมถึงผลได้ผลเสียจากการใช้เทคโนโลยีนี้ ซึ่งในตอนนี้อาจมีเพียงธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถเข้าถึงลูกเล่นแบบใหม่นี้ได้ แต่ถ้าธุรกิจไหนที่มองว่าการลงทุนนี้คุ้มค่า และน่าเสี่ยงก็คงต้องลองหาวิธีเล่นกับแว่น VR ที่จะสามารถสร้างมิติใหม่ให้กับลูกค้าได้อย่างดีทีเดียว

ปัญหาของ VR

ราคา

ยังคงแพงสำหรับมนุษย์เดินดินกินข้าวแกงทั่วไป โดยแว่น Oculus Rift ราคาเริ่มต้นที่ราว ๆ 21,000 บาท (600 เหรียญสหรัฐ) ส่วนราคาคอมพิวเตอร์ทั้งเซ็ตที่จะต้องใช้ในการรัน ก็มีราคาเฉลี่ยเริ่มต้นราว 52,000 บาท (1,500 เหรียญสหรัฐ) ส่วน HTC Vive คู่แข่งก็มีราคาเริ่มต้นที่ราว 28,000 บาท (800 เหรียญสหรัฐ) จึงไม่น่าแปลกใจหากอุปกรณ์ทั้งคู่จะสามารถทำยอดขายได้น้อยมาก

-User ยังน้อยอยู่

ส่วนใหญ่ผู้ใช้(User) ยังคงมีปริมาณที่น้อย มีแต่เนื้อหาประเภทเกม ซึ่งแม้ว่าเกมเมอร์ จะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มักทุ่มเงินไม่อั้นเพื่ออัพเกรดคอมพิวเตอร์ให้เป็นสเป็กล่าสุด และชอบลองของใหม่ แต่ต้องยอมรับอยู่ว่า ปริมาณผู้ใช้ที่มีอยู่อาจจะยังไม่มากพอที่จะสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับผู้พัฒนาเนื้อหาได้ ทำให้เนื้อหาได้รับการพัฒนาหรือผลตอบรับบน VR ยังน้อยมาก

ความอันตรายบน VR

VR กับเรื่องสุขภาพ เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่ในประเภทเกมยังคงมีเด็กและวัยรุ่น โดยทั่วไปแล้วการเล่น Smartphone จะมีระยะห่างจากดวงตาประมาณ 30 เซนติเมตร แต่การใช้แว่น VR จะมีระยะห่างอยู่เพียงไม่ถึง 10 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งการเล่น VR นั้นอาจจะมีผลข้างเคียงต่อดวงตาได้ นอกจากนี้การเล่น VR ครั้งแรกอาจจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะ มึนหัว แต่ถ้าใส่ไปหลาย ๆ ครั้ง อาจจะทำให้ให้ชินจนอาการนี้หายไปได้ แต่ถ้าใส่แว่นไปแล้วเกิดอาการรุนแรงต่อดวงตาหรือมึนหัวจนอยากอาเจียน ให้หยุดการสวมใส่ทันที เพื่อไม่เกิดอันตราย อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพดวงตา และสมองของเราได้ นอกจากนี้การที่เราสวมแว่น VR  ทำให้มีโลกเสมือนอยู่ในหัวและดวงตาของเรา ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมในโลกความเป็นจริงได้เลย ทำให้เราไม่รู้ว่าข้างหน้าเรามีอันตรายอยู่หรือไม่  ขณะเล่น VR เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย อย่างหกล้มหรือเดินชนสิ่งของ

สรุป

ตอนนี้จึงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยี VR กำลังเข้าสู่กระแสหลักมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีในตอนนี้นั้นพร้อมที่จะเอื้ออำนวยให้คนทำคอนเทนต์ได้มากขึ้น รวมถึงมีอุปกรณ์ VR ที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ดังนั้นคนทำการตลาดเองก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะนำเครื่องมือหรือความสร้างสรรค์มาใช้เทคโนโลยีนี้ยังไงดี และจะสร้างประสบการณ์ให้ผู้ชมได้มากขึ้นอย่างไร

Q : อนาคต VR จะปังหรือพัง ?

         VR จะเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกได้จริง? หรือจะเป็นแค่ของเล่นที่เราทิ้งไว้ เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ

ขอพลังจงสถิตอยู่กับนักการตลาดทุกท่าน

#VR#VirtualReality#BrandExperience #Marketing #SocialEnable

Credit : https://goo.gl/xws6hH
https://goo.gl/fnwj2g
https://goo.gl/kxpFU2

Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 หรือกรอกข้อมูลด้านล่าง แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

8 เทคนิค | ใช้ Social ยังไงให้เพิ่ม Engagement

โพสต์ไปไม่เห็นมีคนไลค์เลย? ใช้เงิน Boostpost ไปเยอะ แต่ Engagement ก็ยังไม่ดี?

ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีให้โพสต์ของคุณที่ผ่าน Social Media ต่างๆ ที่เพิ่ม Engagement เยอะกว่าเดิมเพื่อให้คุ้มกับเงินที่เสียไป SocialEnable ขอแนะนำ 8 วิธีเหล่านี้ไปใช้ดูด้วยกันนะครับ

1.กำหนดกลุ่มเป้าหมายของคุณ และทำความเข้าใจอยู่ตลอด

คุณต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ เพื่อที่จะหา Content มา Support ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายว่า เขามีความสนใจอะไร มีข้อสงสัยอะไรหรือเปล่า หรือเรามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ หากเราเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคแล้ว จะช่วยเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เพราะยุคสมัยนี้ใครใคร ก็ชอบแชร์ในสิ่งที่เขาสนใจกันทั้งนั้น หากเราทำได้ตรงจุด จะช่วยเพิ่ม engagement ให้โพสต์ของคุณได้แน่นอน

2.ปรับโพสต์ให้เหมาะในแต่ละ Platform

เริ่มจากการเลือก Platform ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น Instagram เหมาะกับแบรนด์สินค้าประเภทแฟชั่น เสื้อผ้า หากคุณขายเครื่องเขียนก็อาจจะตัดช่องทางนี้ไป และเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

ถัดมาเป็นการเลือกใช้ข้อความให้เหมาะกับแต่ละ Platform ซึ่งแต่ละ Platform จะมีการจำกัดขนาดรูปและขนาดตัวอักษร เราจึงควรเขียนเน้นใจความสำคัญที่เราต้องการจะสื่อสาร เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นข้อความที่กระชับ รัดกุม ตรงประเด็นมากที่สุด

3.ทำ Content ประเภทข้อเท็จจริง สถิติหรือเทรนด์ ที่กลุ่มเป้าหมายไม่ทราบ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า

บางทีหากเราโพสต์ขายสินค้าโดยที่กลุ่มเป้าหมายยังไม่รู้ว่าสินค้านั้นมีประโยชน์กับเขาอย่างไร ทำไมเขาต้องเลือกซื้อสินค้าของเรา(Why us) ลองเพิ่ม Content ที่เกี่ยวกับการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าของเรา หรือเทรนด์ใหม่ๆ ที่มีสินค้าของเราเกี่ยวข้องลงไป จะช่วยเพิ่ม Engagement และความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าของเราได้ไม่น้อยเลย

นอกจากนี้การทำ Content ให้ตรงใจผู้บริโภคนั้น ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของ Content นั้นสามารถตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้จริง และสามารถแก้ไขปัญหาของพวกเขาได้ หรือสามารถยกระดับชีวิตผู้บริโภคให้ดีขึ้น

4.ใช้ Influencer ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Influencer มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการเป็นอย่างมาก หากเลือก Influencer ที่ดัง แต่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา ก็อาจจะทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นการเลือก Influencer เปรียบเสมือนการเลือกกลุ่มลูกค้าของแบรนด์เลย เพราะมีความชอบ หรือความสนใจที่คล้ายกัน เป็นอิทธิพลทางความคิดได้ จึงดีกว่าการที่เราเลือก Influencer ที่ดังแต่ไม่ตรงกับกลุ่มลูกค้า อาจทำให้เป็นที่รู้จักได้จริง(Awareness) แต่ยอดขายอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย ดังนั้นต้องดูวัตถุประสงค์ว่าเราต้องการอะไรจากการใช้ Influncer และกลุ่มลูกค้าที่เราต้องการนั้นใครเป็น Influencer ของเขา

5.เลือกเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์

ช่วงเวลาในการโพสต์เนื้อหาที่ดีที่สุดดูได้จาก Insight หลังบ้านของคุณว่าโพสต์เวลาไหนถึงจะมี Engagement เยอะที่สุด และเหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด รวมไปถึงเช็คความถี่ในการโพสต์ หากช่วงที่เราโพสต์บ่อยเกินไป อาจทำให้คน unlike เพจของเราได้ ดังนั้นการเลือกเวลาที่ดีที่สุดต้องคำนึงถึงวันที่โพสต์ ช่วงเวลาที่โพสต์ และประเภทของ Content ที่เราจะโพสต์ออกไป ตัวอย่างเช่น หากเป็นช่วงเวลาเช้าในวันธรรมดา ควรเป็น Content ประเภท Short-form แบบ Video Content 60 วินาที หรือช่วงเวลากลางคืน 2-3 ทุ่ม อาจจะใช้ Content ประเภท Long-form แบบ Picture&Text ดูก็ได้เช่นกัน จะเห็นว่านอกจากการเลือกเวลาที่ดีในการโพสต์แล้ว ต้องสอดคล้องกับประเภทของ Content ด้วย

6.ใช้ Video Content ในการโพสต์

มีผู้ใช้งาน Facebook ดูวีดีโอวันละ 8 ล้านคลิป สถิติที่เยอะขนาดนี้มาจากการที่ลูกค้าชอบที่จะดูภาพเคลื่อนไหวมากกว่าที่จะมานั่งอ่านข้อความยาวๆ ที่อธิบายถึงคุณสมบัติของสินค้าคุณ ทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น แถม Facebook ยังให้ความสำคัญกับวีดีโอ มีโอกาส Reach สูงกว่าโพสต์ที่เป็นข้อความยาวๆ และมี engagement ดีกว่า การศึกษาพบว่า การ Post ที่เป็น Video ได้ Organic Reach สูงกว่าโพสต์ประเภทรูปภาพถึง 135% และคนจะจดจำเนื้อหาจาก Video ได้ดีกว่า Text ถึง 7 เท่า จะเห็นว่า Video Content ยังคงใช้ได้ผลในแบบ Organic Reach เมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น ซึ่งทางเราแนะนำว่า วิดิโอส่วนใหญ่ควรที่จะยาวไม่เกิน 3 นาที

7.การเข้าร่วม Community ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ช่วยหา Insight ได้ง่าย

การเข้าร่วมกลุ่มต่างๆ ใน Social Network ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เป็นที่หา Insight ของลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม เพราะส่วนใหญ่ใน Group เหล่านี้จะมีคนมาถามปัญหาต่างๆของตัวเอง หรือแชร์ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ เช่น หากเราขายสินค้าเกี่ยวกับเด็กแรกเกิด ในกลุ่มคุณแม่จะมีการพูดคุยถึงปัญหาที่เราสามารถนำปัญหาเหล่านี้มาเขียน Content เพื่อให้ความรู้และผลิตสินค้าใหม่ๆ เพื่อมารองรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้

8.ลองถาม Feedback จากลูกค้า

การให้ลูกค้ามารีวิวสินค้าของเราหรือสอบถามการใช้งานจากลูกค้า ทำให้เราทราบถึงปัญหาว่าสินค้าและบริการของเราว่า มีข้อดีข้อเสียที่ตรงไหน มีอะไรที่ขาดตกบกพร่องไป เพื่อที่จะนำมาปรับปรุง และให้ลูกค้าเกิดความประทับใจต่อไป เป็นการให้ลูกค้าของเราแสดงความคิดเห็นรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกยินดีที่จะบอกทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อปรับปรุงสินค้าหรือบริการของเราที่ลูกค้าต้องการ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับเนื่องจากแบรนด์เราปรับปรุงตามคำเรียกร้องของลูกค้า สิ่งเหล่านี้จะทำให้ลูกค้ามี Engagement และ Loyalty กับแบรนด์มากยิ่งขึ้น

สรุป

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ได้ช่วยเพียงแค่ให้ Engagement ของคุณสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจของคุณพัฒนาต่อไปได้อย่างก้าวกระโดด และยังรักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่นานๆ หรือเพิ่มลูกค้าใหม่ของคุณได้อีกด้วย

#SocialEnable #8Tipsboostengagement #โพสต์ไปไม่เห็นมีคนไลค์เลย


Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 หรือกรอกข้อมูลด้านล่าง แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

Digital Trends In 2018 | จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ? มาดู

Digital Trends in 2018

 Digital Trends in 2018 กับสิ่งที่กำลังมาแรง

เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นธุรกิจต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคอยู่เสมอ วันนี้ SocialEnable จะพามาดู เทรนด์ดิจิทัลปี 2018 ที่มาอย่างแน่นอน แล้วเราจะรับมือกับมือมันอย่างไรบ้าง ตามไปอ่านกันได้เลยครับ

Aritificial Intelligence[AI]

  1. AI (Artificial Intelligence)

เริ่มต้นขึ้นแล้วกับการใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ในการศึกษารูปแบบพฤติกรรมของผู้บริโภค เรียนรู้สิ่งที่ผู้บริโภคต้องการหรือพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย เพื่อวิเคราะห์ประมวลผล หรือคาดเดาความต้องการของผู้บริโภค ในปี 2018 เริ่มมีการใช้ AI มากขึ้น และพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น การใช้ Facebook Chatbot ในการบริการลูกค้า ผ่านทาง Message เป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับคนที่เปิดเพจทำธุรกิจบน Facebook ซึ่งในสมัยก่อนนั้นต้องใช้วิธีการเขียนโค้ด ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไป แต่ปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่ช่วยในการสร้าง Chatbot  โดยคาดว่าภายในปี 2018 ผู้บริโภคจะเริ่มซื้อสินค้าผ่านตัว AI มากกว่ามนุษย์ด้วยกัน

Internet of thing 2018

  1. IOT (Internet of things)

เป็นกระแสที่มาแรงอย่างมาก และคาดว่าจะยังร้อนแรงอย่างต่อเนื่องในปี 2018 โดย IoT เป็นการเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต ทำให้มนุษย์สามารถสั่งการ ควบคุมใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ เช่น Smart Device มีตั้งแต่ของใช้ภายในบ้านอย่างตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศ หรือในปี 2018 อาจถึงขั้นพัฒนาไปสู่ความเป็น Smart City เลยก็เป็นได้ ดังนั้นจะเริ่มเห็นว่า IoT จะค่อยๆคืบคลานเข้ามาเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันของผู้คน

VR vs. AR

  1. VR (Virtual Reality) & AR (Augmented Reality)

สำหรับประเทศไทยในปี 2018 VRและAR ถือว่ายังใช้งานได้ไม่กว้างนัก จะเห็นได้ในวงการเกมก่อนเช่น Pokémon Go จาก AR หรือเกมรถไฟเหาะ เกมแนวสยองขวัญ จาก VR เป็นต้น แต่เรื่องการศึกษา ยังไม่มีผู้ผลิตคอนเทนต์แนวนี้มากนัก ส่วนด้านภาพยนตร์ อาจจะมีให้เห็นในปี 2018 นี้ นอกจากนั้นก็จะเห็นได้จากวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการนำเริ่ม VR และ AR มาใช้งานบ้าง แต่อาจจะน้อยอยู่เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ส่วนอุตสาหกรรมอื่นๆ หากมีไอเดียและคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจมานำเสนอผ่าน VRหรือAR ได้ก็จะดีไม่น้อย

ดังนั้นอีกไม่นานประเทศไทย ปี 2018 เราน่าจะได้เห็น Developer เก่งๆ หรือสินค้าและบริการ ที่นำเสนอผ่อนคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างประสบการณ์ผู้บริโภคหลายๆแบรนด์ นำ VRหรือAR ไปใช้ในการตลาดได้อย่างน่าสนใจ

Payment in 2018

  1. Payment

พวกเราน่าจะเคยได้ยินคำว่า ‘‘สังคมไร้เงินสด’’กันมาบ้างแล้ว เป็นการชำระเงิน ค่าบริการหรือซื้อสินค้าต่างๆ แบบดิจิตอลผ่านแอพพลิเคชั่นในมือถือ ซึ่งในปี 2018 QR code จะมาแทนบาร์โค้ดอย่างแน่นอน ธนาคารเกือบทุกแบรนด์เริ่มครอบคลุมในการให้บริการชำระเงินออนไลน์กันแล้ว รวมถึงร้านค้าหลายๆแบรนด์ทั้งแบรนด์ใหญ่-เล็ก จะเริ่มแพร่หลายไปทุกๆช่องทาง (จริงๆ ตั้งแต่ปีนี้แล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมมากนัก) ซึ่งการชำระเงินออนไลน์เป็นการอำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยเก็บข้อมูลการชำระเงิน ประวัติการทำธุรกิรรม และที่สำคัญคือไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน

Website-in-2018

  1. Website

ปีหน้า Facebook ยังคงเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง แต่ต้องแลกมากับค่าโฆษณา ที่จะถีบตัวขึ้นสูงไปอีกเพราะปัจจุบัน Organic Reach ได้ถูกปรับลดลงอย่างมาก ที่แฟนเพจนั้นจะเห็นโพสต์ของคุณ  ดังนั้นการทำการตลาดบน Facebook จะไม่ใช่การทำการตลาดงบน้อยๆ อีกต่อไป

เว็บไซต์หลักจึงเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นเหมือนบ้านของตัวเอง ส่วน Facebook เหมือนกับไปเช่าหอเขาอยู่ นับวันๆราคายิ่งขึ้น เพราะมีคนแย่งกันเช่ามากขึ้น ที่สำคัญในการทำเว็บไซต์คือ ต้องทบทวนกลยุทธ์การทำเว็บไซต์หลักผ่านทางมือถือมากขึ้น เพราะเว็บไซต์ตอนนี้คนดูในมือถือ มากกว่าบน Desktop ไปแล้ว ดังนั้นการทำเว็บไซต์บนอุปกรณ์มือถือ เป็นตัวเลือกแรกๆของนักการตลาดในปัจจุบัน เช่นการทำเว็บไซต์ให้ซัพพอร์ทกับเฟสบุ๊ค นอกจากการทำเว็บไซต์ให้รองรับอุปกรณ์มือถือแล้ว

การทำ SEO นั้นก็เป็นสิ่งสำคัญในปี 2018 เช่นกัน (ที่จริงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ แต่เมื่อก่อนธุรกิจเน้นใช้แต่บน Facebook) เป็นการช่วยให้เว็บไซต์ถูกค้นหาได้อย่างง่ายดายผ่าน Google แต่การทำ SEO ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เนื่องจากต้องใช้ความชำนาญและเวลาอยู่บ้างในการทำ แต่ก็ไม่ได้ยากถึงขนาดว่าเรียนรู้ไม่ได้เลยเช่นกัน หากทำให้เว็บไซต์อยู่หน้าแรกๆได้ จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมกับกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ รวมไปถึงการเรียกให้ลูกค้าเก่ากลับมาเยี่ยมเว็บไซต์อีกครั้งได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจบนออนไลน์์ควรให้ความสนใจและลงทุนในด้านนี้เป็นอย่างมาก

Social-Media-Mangement-Tools-in-2018

  1. Social Media Management Tools

ในปีหน้าธุรกิจบนโลกออนไลน์จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก การแข่งขันนั้นจะยิ่งเข้มข้นขึ้นอีก ดังนั้นการเข้าถึงและเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง (Consumer Insight) จึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงผู้บริโภคมีความเป็น Personalization และกึ่งๆ เป็น Influencer  เพราะหากผู้บริโภคเจอสินค้าหรือประสบการณ์ที่ไม่ดี ไม่ชอบ ก็จะบอกเรื่องราวต่อๆกัน ปากต่อปาก หรือถึงขั้นร้องเรียนให้ธุรกิจนั้นๆ รับผิดชอบ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนส่วนใหญ่พูดถึงธุรกิจเราในด้านใด ปัญหาที่เกิดขึ้นมานี้ ทำให้เกิดเครื่องมือที่เรียกว่า ‘‘Social Listening หรือ Monitoring Tools’’ (อยู่ในประเภท Social Media Management) ที่ค่อยดูหรือตรวจสิ่งที่ผู้บริโภคพูดถึงธุรกิจของเรา (Mention) ทั้งในด้านดีและไม่ดี ได้หลายช่องทางบน Social Media  (Facebook,Twitter,Youtube,Instagram) เพื่อเข้าใจความต้องการหรือจัดการกับวิกฤตที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในต่างประเทศนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น Hootsuite ส่วนในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีคนรู้จักกันมากนัก แต่ในปี 2018 นี้จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่น่าจับตามองอย่างมากในวงการธุรกิจ IT

สรุป                                                       

SocialEnable จะขอวิเคราะห์ Digital Trends เพื่อช่วยให้ผู้อ่านปรับตัวได้เร็วขึ้น

-AI : มีบทบาทมากขึ้น คนจะซื้อของผ่าน Chatbot กันมากขึ้นไม่ใช่แค่ใน Message Facebook อย่างแน่นอน ผลก็คือลดพนักงานที่ต้องมาคอยตอบ Inbox รวมถึงการบริการที่ดีขึ้นและเร็วขึ้น

-IOT : ในประเทศยังคงมีราคาที่ค่อนข้างสูงอยู่ Smart City อาจจะยังไกลตัวไป ส่วนอีกไม่กี่ปี Smart Home มีความสำคัญอย่างคนยุค Baby Boomer แน่นอน

-VR&AR : ปีหน้าเริ่มใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆมากขึ้น นักการตลาดคงจะสนุกกับเครื่องมือนี้ เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษให้ผู้บริโภค เช่น ธุรกิจจัดอีเว้นท์หรืออสังหาริมทรัพย์ ใช้กล้อง 360 องศา

-Payment : ที่จริงเริ่มตั้งแต่ปีนี้แล้วอย่าง SCB เดินหน้า’สังคมไร้เงินสด’ แต่ปีหน้าจะครอบคลุมถึงร้านค้าพ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก ให้ได้ใช้ QR Code ในการซื้อสินค้ากันอย่างแน่นอน

-Website : เทรนด์อันนี้ไม่พูดถึงไม่ได้แน่นอน มันเกิดมาจาก Facebook เริ่มที่จะลด Organic Rech ลงมาก เพื่อให้คนจ่ายแบบ Paid มากขึ้น ดังนั้นเลยทำให้ Website เป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้น เพราะคือบ้านของเราตั้งแต่เริ่มต้น สามารถควบคุมจัดการได้ เมื่อ Website สำคัญ SEO จึงสำคัญ สุดท้าย Content จึงสำคัญที่สุด จะเห็นว่า 3 สิ่งนี้ไปด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์ (แนะนำ SEO อย่าเดินทางสายดำ [Black Hat] กันนะครับ)

Social Media Management Tools : ในปีหน้าข้อมูลจะเยอะมากกว่าเดิม ผู้บริโภคจะเลือกเสพ Content มีความเป็น Personalization และ มีความ Influencer ในตัว ดังนั้นเครื่องมือ Social Listening Tools เป็นเครื่องมือที่น่าจับตามองอย่างมาก

สรุป

แน่นอนว่าปี 2018 จะเป็นปีแห่งการแข่งขันอย่างเข้มข้นบนโลกดิจิทัล ใครที่ไม่สามารถปรับตัวหรือรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ๆ จะเข้าถึงผู้บริโภคได้ยากและตามความต้องการผู้บริโภคไม่ทัน

#DigitalTrend #Trend2018 #WebSite #SEO #Content #SocialEnable #tools

Credit : https://goo.gl/XscEcu
https://goo.gl/sutWLk

Facebook


– Contact Us –

หากสนใจหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเครื่องมือ Social Listening/Monitoring สามารถติดต่อได้ที่ 080-808-9080 แล้ว Customer Service จะติดต่อกลับไปทันที

Privacy & Term

Privacy Policy

DESCRIPTION OF SERVICE

SocialEnable currently provides users with the trend on Social Media a.k.a Facebook. You understand and agree that
the Service is provided “AS-IS” and that SocialEnable assumes no responsibility for the collecting, storing, deleting,
combining and disclosing information.

In order to use the Service, you must obtain access to the World Wide Web, either directly or through devices that
access web-based content. In addition, you must provide all equipment necessary to make such connection to the World
Wide Web, including a computer and modem or other access device.

  • – SocialEnable are not affiliated and have nothing related with Facebook Inc.
  • – SocialEnable reserves the full authority to select Pages and Categories and has the right to delete
    inappropriate Pages showing consequence without cause or notice to Facebook Page owner.
  • – SocialEnable does not guarantee collecting and sorting into the correct category for every post of pages.
  • – Every displayed post from each Facebook page does not belong to the SocialEnable’s ownership. SocialEnable takes
    no reasonability and assumes no liability for any post that each Facebook page posts.
  • – SocialEnable may contain links to third-party websites, advertisers, services, special offers, or other event or
    activities that are not owned or controlled by SocialEnable. We do not endorse or assume any responsibility for any
    such third-party sites, information, material, products or services. If you access any third party website, service
    or content from SocialEnable, you do so at your own risk and you agree that SocialEnable will have no liability
    arising from your use of or access to any third-party website, service, or content.

COMMERCIAL USE

Unless otherwise expressly authorized by SocialEnable, you agree not to display, distribute, license, perform,
publish, reproduce, duplicate, copy, create derivative works from, modify, sell, resell, exploit, transfer or upload
for any commercial purposes, any portion of the Services, use of the Services or access to the Services. Unless
otherwise expressly agreed by SocialEnable, the Services are for your personal use.

PRIVACY

SocialEnable uses the Personal Information you provide in a manner that is consistent with this Privacy Policy. We
will use your Personal Information in order to provide you with access to and use of our Services, to help us improve
the content and functionality of the Services and to better understand our users. If you contact us by email or opt-in
through the Services, We may keep a record of your contact information and correspondence, and may use your email
address, and any information that you provide to us to respond to you. In addition, we may use your contact
information to market to you, and provide you with information about our products and services. If you decide at any
time that you no longer wish to receive such marketing information or communications from us, please follow
unsubscribe instructions provided in any of the communications.

We do not sell, trade or transfer to outside parties your personally identifiable information but cannot guarantee or
warrant the security of any data from hacking.

WHAT INFORMATION DO WE COLLECT?

We collect information about you as reasonably necessary for the following activities:

Using our Services

We collect the following information when you use our Services:

Account information:

  • • Your contact and profile information including your name, email address and company name; your preferences such
    as language, time zone, and the types of communication you would like to receive from us; and image (if you choose
    to provide this)

Content:

  • • Your social profile information for Social Networks you choose to connect to the Services. For example, your
    Facebook profile information may include your Facebook username and profile image.
  • • Your messages, posts, comments, images, advertising, and other material you curate on and upload to the
    Services; and information that is collected from the Social Networks that you choose to connect to and which is
    displayed on our Services.
  • • Content that you may send and receive through Social Networks may contain personal information that SocialEnable
    does not directly collect or process. This may include information such as: names, photos, age, gender, geographic
    location, opinions, preferences, and phone numbers.
  • • A specific location such as an address, a city, or a place (for example, a restaurant) if you choose to share
    this information.

Logs, usage and support data:

  • • Log data, which may include your IP address, the address of the web page you visited before using the Services,
    your browser type and settings, your device information (such as make, model, and OS), the date and time when you
    used the Services, information about your browser configuration, language preferences, unique identifiers,
    and cookies.
  • • Usage data and analytics, which may include the frequency of login, and the different types of activity
    undertaken by users.
  • • General Location information, such as IP address and the region in which you are located when you are logging in
    and using the Services.
  • • Customer support questions, issues, and general feedback that you choose to provide.

DATA DELETION REQUESTS

You have the right to request deletion of your personal data from our services. To submit a deletion request:
Send an email to support@computerlogy.com with:

  • • Subject: “Data Deletion Request”
  • • Your full name and company name
  • • Email address associated with your account
  • • List of social media profiles/pages or other data you want removed from our system
  • • Links to specific social media content you want removed (if applicable)

Verification Process:
Once we receive your request, we may verify your identity to ensure the security of your data. This verification may involve:

  • • Providing additional information to confirm your identity
  •      • Ex. Show the Email Address registered with your account
  • • Validating your social media account ownership

Processing the Request:
After verification, we will delete your requested data from our systems. We will process your request within 15 business days, and you will receive a confirmation email once the process is complete.
Please note:

  • • This only removes data from SocialEnable’s system. Content will remain on the original social media platforms
  • • For removing content from social media platforms directly, please contact those platforms separately

HOW DO WE USE YOUR INFORMATION?

We use your information for the purposes described below:

Providing and securing our service

  • • We need to identify and authenticate our users to ensure, for example, that only those authorized users are able
    to use the Services for their organization, and to make changes to their accounts.
  • • We use your contact information and information related to your request to respond to your inquiries, manage our
    contract with you, respond to your questions and requests, and send you updates and information about the Services.
  • • We use logging and other data such as general location information—for example, the IP address of your browser
    or device, to help us manage the performance, security and compliance of the Services. 

Improving our websites and applications

We use information about you to help us understand usage patterns and other activities on our websites and
applications so that we can diagnose problems and make improvements, including enhancing usability and security.

  • Google Analytics

We use Google Analytics. The data it collects helps us see things like how many people visit our site, how many pages
they visited and how fast our site loaded. All data collected is completely anonymous, it does not identify you as an
individual in any way.

  • WordPress

WordPress is the Content Management System (CMS) that runs this website. It uses a cookie when logging in and out and
is essential for proper website function. It is only set if you are a registered user, so for most people it is not
set at all. User data is all anonymous.

  • SocialEnable and The General Data Protection Regulation(GDPR)

SocialEnable takes data protection and privacy seriously, we understands that data protection is important to its
users. We will ensure that SocialEnable and its services across the Computerlogy companies align with GDPR. (Please
see our details in The General Data Protection Regulation(GDPR)
page)

TRADEMARK INFORMATION

SocialEnable, the SocialEnable logo and SocialEnable product and service names are trademarks of Computerlogy Co.,
Ltd. Without our prior permission, you agree not to display or use in any manner, the SocialEnable Marks.
SocialEnable’s trademarks and trade dress may not be used in connection with any product or service that is not
SocialEnable’s, in any manner that is likely to cause confusion among customers, or in any manner that disparages or
discredits SocialEnable. All other trademarks not owned by SocialEnable or its subsidiaries that appear on this site
are the property of their respective owners.

COPYRIGHTS AND COPYRIGHT AGENTS

All content included on this site, such as text, graphics, logos, button, icons, images, video clips, audio clips,
digital downloads, data compilations, and software, is the property of SocialEnable or its content suppliers and
protected by Thailand and international copyright laws. All software used on this site is the property of SocialEnable
or its software suppliers and protected by Thailand and international copyright laws.

*If we decide to change our privacy policy, we will post those changes on this page.

PRIVACY ANOTHER

YouTube Terms
of Service
: This summary is designed to help you understand some of the key updates
we’ve made to our Terms of Service (Terms). We hope this serves as a useful guide, but please ensure you read
the new Terms in full.

Google
Privacy Policy
: This Privacy Policy is meant to help you understand what
information we collect, why we collect it, and how you can update, manage, export, and delete your
information.

Google security : As an administrator
for your organization’s G Suite or Cloud Identity service, you can view and
manage security settings for a user. For example, you can reset a user’s password, add or
remove security keys for multi-factor authentication, and reset user sign-in cookies.

socialenable logo

เครื่องมือ Social Media Management Tools บริษัทควรเตรียมตัวใช้อย่างไร

ณ พ.ศ.2561 นี้ ทุกองค์กรน่าจะต้องมี Social Media Channel เป็น Own Asset ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Facebook Fanpage,Twitter Official Account คำว่า Digital Transformation ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในประเทศไทยหลายๆบริษัทเลือกใช้ Digital Agency เข้ามาบริหารจัดการ แต่หลายๆแห่งก็เริ่มจะฟอร์มทีม Digital Marketing ขึ้นมาดูแลเอง

แล้วเหล่า Marketer ต้องเตรียมตัวอย่างไร เมื่อต้องใช้เครื่องมือ Social Media Management Tools มาเริ่มกันเลย 

1.สร้าง Goal&Objective

ก่อนจะเริ่มทำสิ่งใดการตั้งเป้าหมายและผลสำเร็จเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นลำดับแรก
ยกกภาพตัวอย่างจะเห็นได้ว่า เป้าหมายและวัตถุประสงค์นั้นต้องชัดเจน

Different goal and objective

  1. สำรวจความพร้อมของทีม

    คนที่มีความรู้ ความสามารถ และ ที่สำคัญที่สุดคือเวลา “ ในการใช้เครื่องมือในลักษณะนี้
    ยกตัวอย่างเช่นการเลือกใช้ Social Listening Tools ต้องใช้ Data Analyst มาวิเคราะห์ข้อมูลรวมไปถึงการให้ทีม Social  Media หรือ Customer service คอย Monitor โลก Online เพื่อป้องกัน Brand Reputation และ Crisis Management

3.การรายงาน และ การวัดผล

การออก Report ต้องมีรูปแบบรายงานที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น Agency ต้องการทราบความนิยมในตัว Coach ของ The Voice Thailand ใน Season นี้

Mentions of The voice

จากกราฟจะสังเกตุได้ถึงการถูกพูดถึงบนโลก Online ของ Coach แต่ละท่านเพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์ในกรณีที่จะเลือกใช้ Influencer ท่านไหน หรือ วัดผลหลังจากที่ทำ Campaign การใช้เครื่องมือ Social Media Management Tools และ Social Listening Tools ระหว่างทางที่ใช้งานนั้น ต้องทำการ Monitor&Optimise อย่างต่อเนื่อง ทั้ง Trend หรือ Keyword ต่างๆ ต้องคอยเพิ่มในระบบเพื่อนำมาทำ Real-Time Content อย่างมีประสิทธิภาพ


Computerlogy สร้าง SocialEnable จาก Requirement ของลูกค้า และยินดีรับฟังทุกความต้องการของลูกค้าเสมอมั่นใจได้เลยว่าคุณจะได้รับประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานพร้อมได้รับคำแนะนำและการดูแลจากทีมที่ปรึกษามืออาชีพ


#SocialEnable #Computerlogy #SocialMadiaManagementTools #SocialListeningTools

Contact us

What SocialEnable do ?

Watch our 1 minute for SocialEnable